Daily Strategy (21 ก.พ.61)

Daily Strategy (21 ก.พ.61)

อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯ กลับมากดดันตลาดหุ้นทั่วโลก

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : คาดตลาดหุ้นไทยวันนี้ ซื้อขายในกรอบ 1785-1820 จุด มีทิศทางปรับตัวลงตามตลาดต่างประเทศ แต่คาดว่าหุ้น PTT ที่ประกาศข่าวดีผลประกอบการดี จ่ายปันผล และแตกพาร์ จะเป็นตัวพยุงตลาดหุ้นไทยในวันนี้ได้ แม้ว่าหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นบลูชิพจะประกาศผลการดำเนินงานดีขึ้นมากและดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ รวมถึงการจ่ายปันผลในระดับที่น่าพอใจ เช่น PTT และ IVL แต่ตลาดหุ้นโดยรวมคาดว่าจะถูกถ่วงด้วยแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิหุ้นไทยมาโดยตลอด การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 10 ปี ของสหรัฐฯ สู่ระดับใกล้ 2.9% เป็นปัจจัยกดดันตลาดไทยในวันนี้ด้วย โดยเราคาดการณ์ว่า การปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรฯ ดังกล่าว หากยังไม่ขึ้นไปสู่ระดับ 3.3%-3.4% ยังไม่ถึงจุดอันตรายที่จะต้องเกิดการเทขายหุ้นอย่างหนัก เพียงแต่ทำให้ตลาดหุ้นปรับฐาน แต่ไม่ทำให้เกิด New Low แต่นักลงทุนก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังการลงทุน เลือกลงทุนตามหุ้นที่มีกำไรที่ดี มีปัจจัยพื้นฐานดีรองรับ เราแนะนำ  TU, PTT, IVL

 

หุ้นเด่นวันนี้: TU (ปิด 20.40 บาท,“ซื้อ”, ราคาเป้าหมาย 23.00 บาท)

  • TU รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 4/60 เท่ากับ 1,403 ล้านบาท (+55% YoY, -19%QoQ) หากตัดรายการพิเศษออกจะมีกำไรปกติเท่ากับ 1,159 ล้านบาท ดีกว่าที่ Bloomberg Consensus  ประมาณการไว้ 7% ราคาวัตถุดิบปลาทูน่าในเดือน ม.ค. 61 ปรับลดลงเหลือ 1,550 เหรียญสหรัฐฯ / ตัน (-13.9% MoMและ -8.8% YoY) เป็นการปรับลดลงเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ราคาวัตถุดิบปลาทูน่าที่ปรับลดลงจะส่งผลให้กำไรขั้นต้นในไตรมาส 1/61 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ด้านกลยุทธ์ของบริษัทหันมาเน้นการออกสินค้าใหม่ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Ready to Eat (RTE) และกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง โดยบริษัทเริ่มเข้าไปทำการตลาดเชิงรุกให้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ TU ในจีน ผ่าน E-Commerce อย่าง Alibaba นอกจากนี้บริษัทเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อยที่ลงทุนไว้ เรามีมุมมองเป็นบวกในระยะยาว เราคาดว่าปัจจัยสนับสนุนเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานในปี 2561 เติบโตประมาณ 15%

  • Price Pattern ของ TU มีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Weekly & Monthly Buy Signal รอเพียงการกลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่ก็จะทำให้ Price Pattern ของ TU กลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อย่างเต็มตัว โดย Price Pattern ของ TU จะกลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่เมื่อสามารถปิดตลาดเหนือ 50 บาท เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ TU มีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 20.70 บาท ซึ่งหาก Price Pattern ของ TU มีความแข็งแกร่งที่มากพอ โดยสามารถ Break ด้วยการปิดตลาดเหนือ 20.70 บาท จะมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ 22 บาทเป็นลำดับต่อไป (แนวต้าน: 20.60, 20.80, 21.20; แนวรับ: 20.30, 20.10, 19.70)

 

ปัจจัยในประเทศ:

  • BAY (ราคาปิด 44 บาท; ถือ; AWS TP: 46 บาท) วางแผนเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อกลุ่ม SME เป็น 18-20% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า จาก ณ สิ้นปี 2560 ที่ 14% นอกจากนี้ ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อใหม่กลุ่ม SME ในปีนี้ในอัตรา 2 หลัก เทียบกับมากกว่า 10% ในปี 2560 (บางกอกโพสต์) ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกเนื่องจากปัจจัยดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้พอร์ตสินเชื่อของ BAY และหนุนอัตราส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ให้ดีขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอัพไซด์ที่จำกัดและ free float ในระดับต่ำของหุ้น BAY เราคงคำแนะนำ “ถือ”
  • GPSC (ปิด 79.25 บาท,“N.A.”, IAA Consensus 69.50 บาท)จากการประชุมนักวิเคราะห์ในวันที่ 20 ก.พ. 61 ที่ผ่านมา บริษัทได้ประกาศกลยุทธ์การลงทุนในธุรกิจ Energy Storage System ด้วยการสร้างโรงงานแบตเตอรี่ต้นแบบขนาดกำลังการผลิต 100 MWhและมีแผนจะลงทุนขยายธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain) จนถึง End users เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยอาจขยายกำลังการผลิตได้ถึง 2.0 GWhในอนาคตตามความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น (Analyst Meeting) ความเห็น: GPSC มี Upside Risk จากธุรกิจแบตเตอรี่ รวมถึงการขยายตัวของธุรกิจ solar rooftop ทั้งในสถานีบริการน้ำมันของ PTT และ โรงงานอุตสาหกรรม เราอยู่ระหว่างเริ่มต้นการจัดทำบทวิเคราะห์ (Initial Coverage)
  • PTT(490 บาท; ซื้อ; เป้าหมาย 520 บาท)เผยกำไรปี 2560 พุ่ง 42.9% มาที่ 1.35 แสนล้านบาท จากระดับ 9.46 หมื่นล้านบาท ในปี 59 ธุรกิจก๊าซธรรมชาติในส่วนของโรงแยกก๊าซฯ มีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากราคาขายปรับสูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนก๊าซฯลดลง และปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีกำไรเพิ่มขึ้นจากธุรกิจการจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซฯ นอกจากนี้ในปี 60 มีกำไรจากตราสารอนุพันธ์ 693 ล้านบาท จากปี 59 ที่มีขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ จำนวน 8.98 พันล้านบาท มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เพิ่มขึ้น 9.18 พันล้านบาท เป็น 1.37 หมื่นล้านบาท มีรายการที่สำคัญได้แก่ การขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ 2.48 หมื่นล้านบาท โดยหลักจากขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์จากแหล่งสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในต่างประเทศของ PTTEP จำนวน 1.85 หมื่นล้านบาท ขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ถ่านหินของ PTTGM จำนวน 4.23 พันล้านบาท และขาดทุนด้อยค่าสินทรัพย์ของบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล  (PTTGC) จำนวน  29 พันล้านบาท นอกจากนี้มีกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุน 2.67 พันล้านบาท จากการจำหน่ายเงินลงทุนใน SPRC และมีรายได้เงินปันผลจากกองทุนรวม 4.31 พันล้านบาท
  • PTT ประเมินแนวโน้มสถานการณ์ในปี 61 ดีขึ้นขานรับกับราคาน้ำมันเพิ่ม คาดปีนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยที่ 60-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปีก่อนอยู่ที่ 53.2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ค่าการกลั่นเฉลี่ยที่ 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนราคาปิโตรเคมีทรงตัวในระดับสูง ขณะที่ประเมินความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติช่วง 5 ปี (ปี 60-64) ลดลงเฉลี่ยปีละ 1.4% ตามแนวโน้มการใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าลดลงหลังจากภาคเอกชนผลิตไฟฟ้าเองมากขึ้น  PTT ประกาศจ่ายเงินปันผล 12 บาท XD 6 มี.ค.61 และประกาศแตกพาร์จาก 10 บาท เป็น 1 บาท ความเห็น: แนะนำซื้อ อยู่ระหว่างปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น จาก 520 บาท
  • SPALI(ปิด 90บาท; ซื้อ; AWS TP 27.00 บาท)SPALI รายงานรายได้ในปี 2560 ที่ 25,020 ล้านบาท สูงขึ้น 7.2% YoYและกำไรสุทธิที่ 5,812 ล้านบาท สูงขึ้น 18.9% YoYใกล้เคียงกับที่เราคาด ทั้งนี้บริษัทสามารถทำรายได้ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลมากจากการโอนคอนโดและโครงการแนวราบที่ขายได้ตามเป้าที่วางเอาไว้โดยบริษัทตั้งเป้าเปิดโครงการในปี 2561 ทั้งหมด 35 โครงการ มูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในแนวราบ 30 โครงการและคอนโด 5 โครงการ โดยปีนี้บริษัทเน้นเปิดโครงการในแนวราบมากกว่าปีที่แล้วถึง 15 โครงการความเห็น: เราประมาณการรายได้ในปี 2561 ที่ 26,470 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าไม่เป็นเรื่องยากเกินไปที่ SPALI จะทำได้เนื่องจากยังมีจำนวน Backlog รองรับอยู่เป็นจำนวนมากโดยเราแนะนำ ”ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 27.00 บาท อ้างอิง PER 10 เท่าจากกำไรสุทธิในปี 2561

ตลาดต่างประเทศ:

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ:ปรับตัวลงหนัก ขณะที่นักลงทุนวิตกต่อการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และผิดหวังต่อการประกาศผลประกอบการของบริษัทวอลมาร์ท ซึ่งกำไรในไตรมาส 4/60 ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (U.S. Bond Yield) ประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับสูงสุดที่ 92% ก่อนปรับตัวลงมาอยู่ที่ 2.8877% ในปัจจุบัน ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.1567% จากก่อนหน้านี้ปรับตัวไปสูงสุดที่ 3.19%

 

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • ราคาน้ำมันดิบ:อยู่ในช่วงของการปรับตัวขึ้น ได้ปัจจัยบวกจากการที่น้ำมันดิบที่ส่งผ่านท่อส่งจากแคนาดาไปยังสหรัฐฯ มีปริมาณลดลง อันเนื่องจากข้อจำกัดของท่อส่งน้ำมันคีย์สโตน
  • ดัชนีค่าระวางเรือ BDIปิดวันทำการล่าสุดที่ 1,117 จุด เพิ่มขึ้น 30 จุดเป็นการปรับขึ้นเป็นวันที่ 2 หลังเทศกาลตรุษจีนหลังจากลงไปต่ำสุดที่ 1,084 จุด เมื่อสองวันก่อน เป็นผลบวกต่อ PSL, TTA