คปภ.ระบุเทคโนโลยีหนุน 'สตาร์ทอัพฟินเทค'

คปภ.ระบุเทคโนโลยีหนุน 'สตาร์ทอัพฟินเทค'

“สุทธิพล ทวีชัยการ” เลขาธิการ คปภ. เผย TECHNOLOGY DISRUPTION เพิ่มโอกาสกลุ่มสตาร์ทอัพด้านฟินเทค

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 ได้รับเชิญให้ร่วมงานเปิดตัวโครงการ F13 ศูนย์ทดสอบและพัฒนาสตาร์ทอัพด้านฟินเทค ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมฟินเทคประเทศไทย ในโอกาสนี้ได้ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “อนาคตธุรกิจประกันภัย” ว่าการเข้ามาของพัฒนาการด้านเทคโนโลยี หากมีการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส และมองในภาพบวกจะถือเป็นแรงกระตุ้นชั้นดีที่จะช่วยให้ธุรกิจประกันภัยสามารถพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงานและเสริมสร้างโอกาสการทำธุรกิจ ทั้งในส่วนของภาคประกันภัยและธุรกิจกลุ่มสตาร์ทอัพด้านฟินเทค ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจประกันภัยเติบโตได้ในตลาดการเงินของประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันทั้งในภาคส่วนธุรกิจประกันภัย ธุรกิจฟินเทค และหน่วยงานกำกับดูแลมากยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกันการเข้ามาของพัฒนาการด้านเทคโนโลยีก็จะช่วยยกระดับหน่วยงานกำกับดูแลทั้งในเชิงข้อบทกฎหมายและกระบวนการกำกับดูแลให้มีความทันสมัยและสอดรับกับพัฒนาการของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ทั้งนี้สิ่งแรกที่จะเห็นได้ชัดจากการเข้ามาของเทคโนโลยีในธุรกิจประกันภัยคือ การเข้าถึงการบริการและผลิตภัณฑ์ประกันภัย ซึ่งเทคโนโลยีจะช่วยย่นระยะเวลาในการติดต่อสื่อสารระหว่างบริษัทประกันภัยและลูกค้าให้สั้นลง ได้ ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันภัยได้หลายทางช่องทางและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น บริษัทประกันภัยเองก็สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้อย่างทันท่วงที เช่น การนำเทคโนโลยีโดรนมาใช้ในการสำรวจภัย หรือการติดต่อลูกค้าผ่านระบบวีดีโอและเสียงในการบริการการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน สิ่งต่อมาคือการพัฒนาระบบการทำงานของบริษัทประกันภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่นการพัฒนาระบบฐานข้อมูลแบบ real time เพื่อให้สามารถนำข้อมูลที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุดมาใช้งาน หรือการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ให้เข้ามามีบทบาทในเรื่องของการวิเคราะห์และกรองข้อมูลต่างๆ ของบริษัทประกันภัย การนำเทคโนโลยีมาผนวกกับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภค เพื่อใช้ประโยชน์ในการประเมินความเสี่ยงด้านการประกันภัยก็เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น

นอกจากบริษัทประกันภัยแล้ว คนกลางประกันภัย (ตัวแทนและนายหน้าประกันภัย) ก็สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ประกอบการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยได้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ในอดีต การที่ตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยจะไปเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้แก่ลูกค้าต้องหอบเอกสารประกอบการเสนอขายรวมถึงตัวอย่างกรมธรรม์ประกันภัย และเอกสารอื่นๆ ไปแนะนำให้แก่ลูกค้า แต่เมื่อมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ เอกสารประกอบการเสนอขายทั้งหมดถูกโหลดลงบนแท๊ปเล็ต ซึ่งสามารถเปิดให้ลูกค้าดูได้ทันที เมื่อลูกค้าตกลงทำประกันภัย ก็ใช้แท๊ปเล็ตเชื่อมต่อกับระบบการทำประกันภัยของบริษัท ทั้งการกรอกข้อมูลและการชำระเงินสามารถทำผ่านระบบออนไลน์ได้ทั้งหมด และเมื่อบริษัทตอบตกลง ก็สามารถส่งกรมธรรม์ประกันภัยในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ลูกค้าได้ จึงมองในแง่บวกว่า ในภาคของประกันภัยเทคโนโลยีจะยังไม่สามารถเข้ามาแทนมนุษย์ได้ทั้งหมด แต่จะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้การประกอบธุรกิจประกันภัยมีความง่ายขึ้นและทำให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น

นอกจากนี้ Technology Disruption ยังเพิ่มโอกาสให้กลุ่มสตาร์ทอัพด้านฟินเทคของไทยสามารถใช้ช่องทางของการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจประกันภัย พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆเพื่อช่วยให้การทำธุรกิจประกันภัยง่ายขึ้น หรือ นวัตกรรมที่ช่วยให้บริษัทประกันภัยหรือคนกลางประกันภัยไม่ทำผิดกฎระเบียบด้านประกันภัย ฯลฯ