Daily Strategy (19 ก.พ.61)

Daily Strategy (19 ก.พ.61)

คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยไปต่อหนุนโดยหุ้นขนาดใหญ่

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้:  นักลงทุนใช้ความระมัดระวังผลประกอบการที่ออกมาของปี 2560 มากขึ้น บริษัทขนาดกลางและเล็ก ประกาศผลการดำเนินงานมาไม่น่าประทับใจ เนื่องจากหลายกิจการถูกตั้งค่าใช้จ่ายที่เป็นรายการหักจำนวนมากเข้ามาในช่วงไตรมาส 4/60 ทำให้ผลประกอบการออกมาผิดจากความคาดหมายมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ โดยหุ้นกลุ่มพลังงานปิโตรเคมี และกลุ่มธุรกิจไฟฟ้า มีแนวโน้มประกาศผลประกอบการดีในช่วงไตรมาส 4/60 เนื่องจากได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นสำหรับกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ทำให้ไม่เกิด Stock Loss เหมือนช่วงกลางปี ในขณะที่กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าได้รับผลบวกจากการแข็งค่าของเงินบาทเป็นตัวช่วย คำแนะนำ ยังแนะนำให้เลี่ยงหุ้นส่งออก โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ออกไปก่อน ได้รับผลลบจากค่าเงินบาทแข็ง และราคาทองแดงปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มที่แนะนำซื้อในช่วงนี้ เป็นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี เน้นที่ PTTGC, IRPC, BANPU และธุรกิจไฟฟ้า เน้น BGRIM, CHOW

 

หุ้นเด่นวันนี้: BGRIM (ปิด 30.00 บาท; “ซื้อ”; AWS TP 33.00 บาท)

  • BGRIM เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าประเภท SPP รายใหญ่ของประเทศ บริษัทมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 2,482 MW ภายในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 51% ในระยะเวลา 5 ปี ทั้งนี้การเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้ายังเป็นไปตามแผนโดยในปี 2561 บริษัทจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 2,091 MW เปรียบเทียบกับปี 2560 ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 1,646 MW นอกจากนี้บริษัทยังมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศรวมกันกว่า 850 MW BGRIM จึงเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า คาด BGRIM จะรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 4/60 เท่ากับ 631 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิในปี 2560 นี้ที่ 2,271 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64%YoY
  • Price Pattern ของ BGRIM ยังมีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, &Monthly Buy Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ BGRIM ยังบ่งบอกว่าจะได้เห็นการทำ New High อีกด้วย โดยมีเป้าหมายถัดไปของการทำ New High อยู่ที่ 25 บาท ทั้งนี้จุด Stop Loss ระยะสั้นของ BGRIM อยู่ที่ 29.25 บาท(แนวต้าน: 30.50, 31.00, 31.50; แนวรับ: 29.50, 29.00, 28.50)

ปัจจัยในประเทศ:

  • สภาพัฒน์ฯ เตรียมประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 4/60 และ 2560 วันนี้ นอกจากนี้ กระทรวงการคลังมองว่าเศรษฐกิจปี 2561 มีแนวโน้มเติบโตมากกว่าคาดการณ์ที่ 2% หากรวมปัจจัยเรื่องการลงทุนในส่วนที่เพิ่มขึ้นของโครงการเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (บางกอกโพสต์/ไทยโพสต์)
  • คลังหนุนแบงกิ้งเอเยนต์ เปิดทางเซเว่นร่วม กระทรวงการคลังหนุน "แบงกิ้งเอเยนต์" ชี้เป็นเรื่องดีเพิ่มทางเลือกเข้าถึงแหล่งเงินในระบบให้ประชาชน มองสถาบันการเงินทั้งรัฐ-เอกชนถึงเวลาปรับตัวเพื่อลงแข่งขันในธุรกิจ ไม่ปิดกั้นหาก 7-Eleven สนใจร่วมแจม ด้าน ธปท.เแจง "แบงกิ้งเอเยนต์" ไม่ใช่การอนุญาตตั้งธนาคารพาณิชย์ใหม่ (Thaipost) ความเห็น: แบงกิ้งเอเยนต์เป็นการเปิดทางให้ภาคเอกชนอื่นๆ เข้ามาเป็นตัวแทนรับฝาก-ถอนเงินให้กับธนาคารพาณิชย์ ในพื้นที่ต่างๆ ช่วยลดต้นทุนการตั้งสาขาของธนาคารพาณิชย์ หาก 7-Eleven  สามารถเป็นแบงกิ้งเอเยนต์จะช่วยเพิ่มรายได้ในอนาคตให้กับ CPALL คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 87.50 บาท
  • MAKRO เตรียมรุกอินเดีย: MAKRO วางแผนที่จะลงทุนกว่า 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 5 ปีแรก เพื่อเปิดศูนย์กระจายสินค้า 15 สาขาทั่วอินเดียตอนเหนือโดยจะเริ่มเปิด 2 สาขาในเขตนิวเดลี นครหลวงของอินเดียในปีนี้ความเห็น: ประเทศอินเดียยังคงเป็นตลาดใหม่สำหรับธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสมัยใหม่ดังนั้นยังมีโอกาสที่ธุรกิจจะเติบโตได้อีกมาก
  • TASCO (30บาท; ถือ; AWSTP 25บาท)Outlook ปี 2561ยังคลุมเครือ กล่าวคือ บริษัทคาดปริมาณขายปี 2561ไว้ที่ 1.9-2.0 ล้านตัน เท่ากับปีก่อน นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น เป็นผลลบ เพราะแม้ว่าราคาจำหน่ายยางมะตอยทรงตัวดี แต่คาดว่าสเปรดจะไม่สดใส เนื่องจากการจัดหาวัตถุดิบน้ำมันจากเวเนซูเอล่า ทำได้ยากขึ้น ต้องไปจัดหาจากแหล่งอื่นในอเมริกาใต้ เช่น เอกวาดอร์ โคลัมเบีย บราซิล แทน เราอาจจะปรับคาดการณ์ กำไรสุทธิ จาก 3.6 พันล้านบาท เป็น 2.9 พันล้านบาท และลดราคาเป้าหมายจาก 33 บาท สู่ 25 บาท แนะนำเปลี่ยนจากซื้อ เป็นถือ

 

ตลาดต่างประเทศ:

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ปิดบวกขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม แรงบวกในตลาดได้ถูกสกัดลงในระหว่างวัน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง หลังจากมีรายงานข่าวว่า อัยการพิเศษสหรัฐฯได้ฟ้องร้องดำเนินคดีพลเมืองรัสเซีย 13 คน และองค์กรรัสเซีย 3 แห่ง ฐานแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐปี 2559
  • ตลาดหุ้นจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ปิดทำการวันศุกร์ที่ 16 ก.พ.เนื่องในวันตรุษจีน

 

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • ราคาทองคำ: ปิดบวก หลังจากดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าตลอดสัปดาห์
  • ราคาน้ำมันดิบ: เพิ่มขึ้น 34 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 61.68 ดอลลาร์/บาร์เรล; เบรนท์ เพิ่มขึ้น 51 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 64.84 ดอลลาร์/บาร์เรล ได้ปัจจัยหนุนจากที่ซาอุดิอาระเบียและกลุ่มโอเปกให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าลดการผลิตน้ำมันตามสัญญาจนถึงสิ้นปีนี้
  • ราคาทองแดง: ปิดบวกโดยได้รับปัจจัยหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างที่พุ่งขึ้น 9.7% ในเดือน ม.ค. สู่ระดับ 1.33 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2559 หรือในรอบกว่าหนึ่งปี และสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.24 ล้านยูนิต ความเห็น: ราคาทองแดงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลลบต่อ KCE

Key Takeaway:TTCL(14.30 บาท; ซื้อ; AWS TP 25.00 บาท)

  • โครงการโรงไฟฟ้า Ahloneส่วนต่อขยายบริษัทจะดำเนินการเองทั้งหมดไม่หาผู้ร่วมทุน

บริษัทยืนยันการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ TOYO ENGINEERING ญี่ปุ่นไม่กระทบต่อการดำเนินงาน ส่วนโครงการใหญ่ในช่วงนี้คาดว่าจะโฟกัสที่การลงทุนโครงการโรงไฟฟ้า Ahloneส่วนต่อขยาย 356 MW ซึ่ง TTCL มีสัดส่วนการลงทุนในโครงการนี้ 95% เท่ากับโครงการโรงไฟฟ้าAhlone เฟส 1 ขนาด 120MW คาดชงเข้าประชุมบอร์ดหาข้อสรุปสิ้นเดือนนี้โครงการดังกล่าวใช้เงินลงทุน 11,200 ล้านบาท จะใช้สัดส่วนลงทุนหนี้สินต่อทุน 70:30 (หนี้สิน 7,840 ล้านบาท ส่วนทุน 3,360 ล้านบาท) โดยเป็นโครงการ Project Financing ส่วนหนี้สินจะยังไม่นับรวมจนกว่าโครงการจะเริ่ม COD ในอีกราว 24 เดือน ส่วนที่บริษัทอาจจะต้องการหาแหล่งเงินทุนเพิ่มคือส่วนทุน ซึ่งจะมีหลายวิธีให้ดำเนินงาน เราคาดว่าถึงแม้จะเพิ่มทุนก็ไม่คาดว่ามากนัก เราคาดว่าการ Contribute กำไรในส่วนนี้ คาดว่าไม่สูงกว่าโรงไฟฟ้าAhlone เฟส 1 มากนัก คือกำไรสุทธิราว 300 ล้านบาทต่อปี เมื่อจ่ายไฟฟ้าได้เต็มกำลังการผลิตแล้ว มูลค่าหลักในโรงไฟฟ้าAhlone เฟส 1 เราประเมินไว้ 5 บาทต่อหุ้น

  • โรงไฟฟ้าKayin รอไว้ก่อน หากดำเนินการจะต้องหาผู้ร่วมทุน
  • ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าKayin 1,280 MW ปัจจุบัน TTCL ถือหุ้น 90% หากจะดำเนินการจะต้องหาผู้ร่วมทุนหรือ Strategic Partner โดย TTCL ตั้งใจจะลดสัดส่วนการลงทุนลงเหลือ 40% เรามองว่าเป็นเรื่องในอนาคตที่บริษัทจะรับไปพิจารณาตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรยังไม่พิจารณานับรวมเป็นมูลค่ากิจการ
  • ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในไทยและญี่ปุ่น บริษัทยังถือหุ้นตามส่วนเงินลงทุนราว 45 เมกะวัตต์ โดยมี Solar Farm ขนาด 25MW ที่กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ ประเมินมูลค่ารวมราว 3,000 ล้านบาท หรือราว 5.3 บาทต่อหุ้น
  • เราคงคำแนะนำซื้อ TTCL ราคาเหมาะสม 25 บาท
  • แม้อาจจะมีความเสี่ยงว่าผลประกอบการไตรมาส 4/60 อาจจะออกมาไม่น่าประทับใจ โครงการ Rock Salt ที่ดำเนินการอยู่มีปัญหาและค้างการรับรู้รายได้กว่า 700 ล้านบาท ในไตรมาส 3/60 ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในช่วงปี 2560 ไม่น่าประทับใจ เพราะธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าของบริษัท มีจุดตกต่ำตั้งแต่ปี 2558-2560 แต่ได้มีการฟื้นตัวในไตรมาส 4/60 ขึ้นมาแล้ว คาดว่างานในมือที่เข้ามาใหม่ของ TTCL จะมากขึ้น และมีอัตรากำไรที่ดีขึ้นตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป แต่เนื่องจากเรามองว่า TTCL กำลังอยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจจากการเป็นผู้รับเหมาธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมี เข้าสู่ธุรกิจไฟฟ้าในเมียนมาร์และในญี่ปุ่น เพิ่มมากขึ้น มี HiddenValuation ของงานโรงไฟฟ้าจำนวนมากกว่าราคาหุ้นในปัจจุบัน เราจึงคงคำแนะนำซื้อ และให้ราคาเหมาะสม 25 บาท