เมเจอร์ฯรุกเทคโนโลยี-เร่งสยายปีกตลาดไทยโตสูง

เมเจอร์ฯรุกเทคโนโลยี-เร่งสยายปีกตลาดไทยโตสูง

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เจ้าของโรงภาพยนตร์กว่า 718 แห่งทั่วประเทศไทยรวม 1.65 แสนที่นั่ง ยังคงรายได้เติบโตราว 6% ไว้ได้ แม้ว่าแนวโน้มของเทคโนโลยีใหม่ๆ จะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกด้านความบันเทิงมากขึ้น

วิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  แนวโน้มการชมภาพยนตร์จากจอใหญ่ยังคงเติบโตสูงโดยเฉพาะในไทยที่การพัฒนาธุรกิจโรงภาพยนตร์มีช่องว่างให้เติบโตอีกมาก ดังนั้นจึงมุ่งลงทุนต่อเนื่องและเลือกดึงเทคโนโลยีชั้นนำใหม่ๆ ระดับโลกมานำเสนอเป็นรายแรกเพื่อสร้างจุดแข็งในการเป็นผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์เอนเตอร์เทนเมนต์

ตลาดคนดูภาพยนตร์ในโรงยังเติบโต โดยเฉพาะในเอเชียดูจากจีนมีการเปิดจอใหม่กว่า 8,000 จอ รวมกว่า 5.2 หมื่นจอ แซงหน้าสหรัฐที่มีจอรวมกว่า 3.2 หมื่นจอ 

“อิทธิพลการเติบโตของคนดูในโรงทำให้เทรนด์ภาพยนตร์ฮออลีวู้ดฟอร์มยักษ์ อย่าง แบล็คแพนเธอร์ส ยังต้องเลือกมาเปิดตัวในช่วงตรุษจีน จับกำลังซื้อฝั่งเอเชียแทนที่จะเปิดในช่วงซัมเมอร์ของฝั่งตะวันตกตามธรรมเนียม

เมื่อหันมามองในไทยยังมีจำนวนห่างชั้นอีกมากที่จำนวนราว 1,200 จอ เท่านั้น จึงสามารถเติบโตได้อีกเฉพาะเมเจอร์ปีนี้จึงวางเป้าหมายการขยายอีก 100 จอ รวมกว่า 40 สาขาพร้อมตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตไว้ราว 10% 

หนึ่งในการลงทุนที่ต้องจับตามองในปีนี้คือการผนึกพันธมิตรกับ "ไอแม็กซ์ คอร์ปอเรชั่น" ในการเปิดโรงภาพยนตร์ระบบไอแม็กซ์จอยักษ์เพิ่มอีก 2 สาขาที่พนมเปญและไอคอนสยาม ทำให้สิ้นปีนี้จะมีโรงไอแม็กซ์เพิ่มเป็น 8 สาขาจากเดิมมี 6 สาขา 2,541 ที่นั่ง 

โดยสัดส่วนรายได้จากไอแม็กซ์ปัจจุบันอยู่ที่ 10% เทียบกับรายได้ทั้งหมด แต่ทั้งนี้การลงทุนของโรงในระบบนี้จะสูง 8 เท่าจากโรงปกติที่ใช้งบประมาณ 15-20 ล้านบาท

แต่ไฮไลต์ในการจับมือร่วมกับไอแม็กซ์ในปีนี้คือการร่วมลงทุน 50% เพื่อนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเสมือนจริง (VR : Virtual Reality) มาต่อยอดให้กับธุรกิจโรงภาพยนตร์ภายใต้ชื่อ “ไอแม็กซ์ วีอาร์” โดยไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียและเป็นประเทศที่ 7 ของโลกต่อจากลอสแองเจลิส, นิวยอร์ก, โตรอนโต, อังกฤษ และเซี่ยงไฮ้  ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเอไอเอสเป็นเนมมิ่งสปอนเซอร์และช่วยการทำการประชาสัมพันธ์ให้ฐานลูกค้ากว่า 40 ล้านคนในไทยเข้ามารู้จักและใช้บริการธุรกิจตัวใหม่ที่โรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพล็กซ์ เปิดตัวอย่างเป็นทางการวันนี้ (17 ก.พ.) คาดสร้างกลุ่มลูกค้าได้กว่า 1 แสนคนต่อปี

รูปแบบของไอแม็กซ์วีอาร์จะเป็นการรวมเทคโนโลยีวีอาร์และเนื้อหาจากภาพยนตร์ระดับโลกซึ่งมีการออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อใช้กับเครื่องมือนี้ในรูปแบบเกมส์เบื้องต้นวางการนำเสนอไว้ 7 เกมส์อาทิ John Wick ChroniclesและJustice League นำเนื้อหาภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดมาประกอบการเล่นระยะเวลาเฉลี่ย 7-30 นาที

ขณะนี้ยังมีแผนการพัฒนาที่พารากอนเพียงแห่งเดียว เนื่องจากตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯ สามารถดึงดูดทั้งกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนไทย ชาวต่างชาติที่อาศัยในไทย (expat) และนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ 2 กลุ่มหลังที่คาดว่าให้ความสนใจเพราะตรงกับความต้องการมากเบื้องต้นหากมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการได้ 15-20% ก็เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดไว้แล้ว

“เดินทางไปเจรจากับไอแม็กซ์ตั้งแต่ปีที่แล้วซึ่งพบว่าจากที่ไอแม็กซ์ทดลองตลาดกับที่ลอสแองเจลิส มีผลตอบรับที่ดีมาก ต่อไปเทคโนโลยีวีอาร์จะเข้ามาใช้ในธุรกิจแพร่หลายมากขึ้น บริษัทจึงสนใจเป็นผู้นำในการดึงระบบนี้มาใช้ โดยที่ไอแม็กซ์ลงทุนด้านเทคโนโลยีเป็นหลักและเมเจอร์เตรียมด้านพื้นที่และองค์ประกอบอื่นๆ รองรับ”

วิชา กล่าวด้วยว่า ปีนี้จะมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในโรงภาพยนตร์ เช่น นำจอแบบ LED มาใช้เป็นครั้งแรกที่พารากอนซีนีเพล็กซ์รวมถึงการพัฒนาในเชิงกลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ เช่น นำร่องที่เมเจอร์รัชโยธินจับกลุ่มนักศึกษาที่มีสัดส่วนกว่า 50% สำหรับการชมภาพยนตร์ในโปรโมชั่นราคาเดียวได้ทุกเรื่องไม่จำกัดตลอดทั้งเดือนและเร็วๆ นี้ จะเปิดตัว “การตลาดแนว 5.0” ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีเข้าถึงลูกค้าเพื่อดึงตลาดออนไลน์สู่ออฟไลน์มากขึ้น

ด้าน จอห์น เอ็ม ชไรเนอร์ รองประธานอาวุโส ไอแม็กซ์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า มีเป้าหมายเพิ่มไอแม็กซ์วีอาร์เป็น 10 แห่งภายใน 18 เดือนข้างหน้า หลังพบว่าการตอบรับของการทดลองตลาดดีต่อเนื่องความพึงพอใจในแง่บวกสูงราว87%และสามารถดึงดูดตลาดมิลเลนเนียส์คิดเป็นสัดส่วนกว่า70%

ในอนาคตยังวางแผนการพัฒนาเนื้อหาของวีอาร์เพิ่มเติมโดยกำลังทำงานร่วมกับนักพัฒนาเนื้อหาวีอาร์หลายรายรวมถึงสตูดิโอและผู้เผยแพร่เกมส์ในฮอลลีวู้ดพร้อมกับตั้งกองทุนพัฒนาเนื้อหาวีอาร์มูลค่า 50 ล้านดอลลาร์ ราว 1,650 ล้านบาท เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นอุตสาหกรรมวีอาร์ด้วยเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง 25 เนื้อหาภายใน 3 ปี ซึ่งมีพันธมิตรร่วมทุน อาทิ เอเซอร์ ธุรกิจคอมพิวเตอร์

ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส กล่าวว่านอกจากผลด้านการตลาดที่สืบเนื่องมากว่า20ปีที่ทำงานร่วมกับเมเจอร์แล้วในครั้งนี้จะร่วมมือกันใช้โอกาสนำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีมาต่อยอดให้กับผู้ผลิตคอนเทนท์ไทยเช่นกลุ่มสตาร์ทอัพให้เข้าถึงการพัฒนาในระดับโลก