บล.กสิกรฯคงเป้าSETปีนี้1,850จุด คาดกระแสทุนต่างชาติไหลกลับ

บล.กสิกรฯคงเป้าSETปีนี้1,850จุด คาดกระแสทุนต่างชาติไหลกลับ

"ประกิต" ผอ.ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรฯ คงเป้า SET ปีนี้ 1,850 จุด คาดกระแสทุนต่างชาติไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยตั้งแต่มี.ค.นี้

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ยังคงเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET index) ในปีนี้ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 1,850 จุด และมองว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือน มี.ค.61 โดยคาดว่าจะเห็นกระแสเงินทุนไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติ และภาพรวมผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 61 ค่อนข้างไปในเชิงบวก แต่ทั้งนี้ยังเห็นความเสี่ยงจากปัญหาด้านการเมือง โดยหากร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องถูกเลื่อนออกไปมากอาจส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งและความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ขณะเดียวกัน ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความผันผวนค่อนข้างมาก แต่มองว่าเป็นเพียงการปรับฐานระยะสั้นจากแรงขายทำกำไร หลังขึ้นมาค่อนข้างมากกว่า 30% ในช่วง 10 เดือนก่อนหน้านี้ โดยหลังจากนี้คาดว่าจะมี Downside ไม่เกิน 1-6% หรือประมาณ 1,000-1,400 จุด และจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯจะมีผลกระทบต่อ SET index ไม่มากเนื่องจากมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างต่ำในระดับไม่เกิน 15% ซึ่งหากตลาดหุ้นสหรัฐฯผันผวนรุนแรง ก็อาจจะไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นไทยอาจไม่ปรับตัวลงรุนแรงตามไปด้วย เพราะปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมีอัตราการถือครองในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างต่ำ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีแรงขายสุทธิน้อยลง

ส่วนอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯมองว่าเป็นขาขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวอยู่ที่ระดับ 2.8% เป็นระดับที่ไม่น่ากังวลเนื่องจากยังสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับ 2.1% แต่ต้องเริ่มระวังผลกระทบจากจากราคาน้ำมันที่เป็นขาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งอัตราว่างงานของสหรัฐฯค่อนข้างต่ำที่ 4% และสหรัฐฯมีแผนปฏิรูปภาษีธุรกิจ ทำให้ค่าจ้างอาจทำ new high ประกอบกับเศรษฐกิจที่ขยายตัวดี อาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อตามมา แต่อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อที่ประมาณ 2% ยังต่ำกว่า GDP ที่อยู่ราว 2.5-3% มองว่ายังไปต่อได้

สำหรับประเทศไทย คาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นตามสหรัฐฯในช่วงกลางปี 61 ซึ่งอาจส่งผลให้ค่า P/E และ Price per book ของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นตรงข้ามทิศทางตลาด และยังแนะนำให้ลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากมองว่าจะได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกันเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นไทยในช่วงเดือน มี.ค.61 เนื่องจากก่อนหน้านี้ขายสุทธิไปค่อนข้างมาก ประกอบกับเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งตามสถิติ 9 ปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติจะเข้าซื้อหุ้นไทยมากที่สุดในช่วงเดือน มี.ค.เฉลี่ยราว 1.7 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะทำให้สัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยราว 35% ของมูลค่าตลาด จากปัจจุบันที่ 32%

อีกทั้งผลตอบแทนและเงินปันผล (SET total return) ในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย เฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราว 4.5% ซึ่งเป็นช่วงเวลา Golden Period เพื่อเข้าลงทุนในหุ้นที่มีปันผลดี โดยแนะนำให้ซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงนี้ก่อนวัน XD และขายหลังจากนั้น เพื่อได้ผลตอบแทนสูงสุด

"จากการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านมามีภาพรวมที่ดี และบริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานดี แต่กำไรสุทธิอาจไม่หวือหวา เป็นเพราะแรงกดดันจากการตั้งสำรองค่อนข้างมาก" นายประกิต กล่าว

นายประกิต กล่าวอีกว่า ปีนี้กลุ่มธนาคารจะได้ประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย การลงทุน การบริโภคที่คาดว่าจะดีที่สุดในรอบหลายปี ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างกลุ่มสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่ากำไรโดยรวมจะฟื้นตัวขึ้น 11% ในปี 61 เทียบกับการเติบโตของตลาดที่ 5.4%

ปัจจุบันกลุ่มธนาคารมี Forward PBV 1.20 เท่า แม้จะยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีของกลุ่มที่ 1.35 เท่าแต่ก็เห็นการปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากสถิติในอดีตพบว่า Forward PBV จะตอบสนองในทางตรงข้ามต่อ NPL ล่วงหน้า 4 ไตรมาส ทั้งนี้บล.กสิกรไทยคาดว่า ในปี 61 ระดับ NPL จะปรับลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 4/60 ที่ 3.73% เหลือ 3.64% ทำให้กลุ่มธนาคารที่เคยได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบเรื่อง NPL มาตลอด 3 ปี จะผ่อนคลายมากขึ้น ประกอบกับแนวโน้มเรื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ จะเป็นปัจจัยผลักดันให้กระแสเงินเข้ามาทำให้ Forward PBV สามารถขึ้นไปที่ 1.6 เท่าได้ในปีนี้

นอกจากนั้นกลุ่มธนาคารได้ประโยชน์จากสินเชื่อที่เติบโตแข็งแกร่ง รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิที่โตขึ้น ซึ่งมีแรงหนุนมาจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อรัฐและสินเชื่อรายย่อย คาดการเติบโตของสินเชื่อจะเร่งตัวขึ้นเป็น 6% ในปี 61

บล.กสิกรไทยยังคงมองว่ากลุ่มธนาคารจะเป็นกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเชื่อว่าสภาพคล่องส่วนเพิ่มจะเข้าหากลุ่มธนาคาร และธนาคารขนาดใหญ่จะตอบสนองได้ดีที่สุด มอง BBL KTB เป็นตัวเด่น นอกจากนี้กลุ่มค้าปลีกยังเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อขาขึ้นอีกด้วย เลือก CPALL HMPRO ROBINS เป็นตัวเด่น