มองเหรียญอีกด้านของการละเมิดในสถานศึกษาที่ไม่ใช่แค่รุนแรงในห้องเรียนแต่ยังลุกลามไปถึงระบบการจัดการ
กรณีอื้อฉาวระหว่าง “บุคลากรทางการศึกษา” กับ “เด็ก” กว่า 53 รายระหว่างปีพ.ศ. 2556 - 2560 ที่ สำนักงานคณะการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. “เปิดเผย” ออกสื่อเมื่อไม่กี่วันก่อน ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึง “ความผิดปกติ” ที่เกิดขึ้นกับระบบการศึกษาในประเทศไทย โดยเฉพาะเส้นแบ่งของ “ความเหมาะสม” ระหว่าง “ความเอ็นดู” กับ “การคุกคาม”
แม้สัดส่วน “53 ราย” เมื่อเทียบกับปริมาณบุคลากรด้านการศึกษาทั้งระบบไม่ต่ำกว่า 3 แสนคนจะดูเป็นตัวเลขเพียงเล็กน้อยของ “ความเสี่ยง” ที่จะเกิดขึ้น แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า “ไม่เห็น” ไม่ได้แปลว่า “ไม่มี”
#การละเมิดในโรงเรียนก็เช่นกัน
ภาพประกอบจาก Internet
* เมื่อ ‘ศิษย์’ ไม่มี ‘สิทธิ’
“หลังเกิดเหตุ 4 เดือน ก็เริ่มมีข่าวลือ ครูฝ่ายปกครองเรียกดิฉันกับครูที่กระทำมาถามข้อเท็จจริง ดิฉันไม่อยากตอบเพราะครูคนนั้นนั่งอยู่ด้วย และกลัวว่า ครูฝ่ายปกครองจะไม่เชื่อ”
มันเป็นความขมขื่นของเด็กหญิงคนหนึ่งในโรงเรียนชื่อดังย่านปริมณฑลที่ถูก “ครู” กระทำชำเราในห้องว่างภายในโรงเรียนช่วงหลังเลิกเรียน เมื่อ 7 ปีที่แล้ว หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ คณะผู้บริหารโรงเรียนเรียกเธอเข้าไปถามย้ำอีกครั้ง เธอยืนยันไปว่า ถูกกระทำจริง
ถัดมา 3 วัน โรงเรียนสั่งให้ครูคนดังกล่าวหยุดสอน แต่จากนั้นไม่นาน ภรรยาของครูคนนี้ย้ายเข้ามาสอนที่โรงเรียน และคุยกับเธอให้ไปบอกกับครูฝ่ายปกครองว่า “เต็มใจมีเพศสัมพันธ์” มิเช่นนั้นจะ “บีบให้ออก” จากโรงเรียนให้ได้
สุดท้ายเธอย้ายโรงเรียนเพราะอับอาย และรู้สึกว่า ไม่ได้รับความยุติธรรม ส่วน “ครูคนนั้น” ย้ายไปสอนที่โรงเรียนอีกแห่ง
ไม่ต่างจากมารดาของเด็กหญิงวัย 14 ปี ในจังหวัดอุดรธานี เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 ว่า ได้ร้องเรียนเรื่อง ลูกสาวโดนจับหน้าอก แต่ผ่านไป 1 เดือน เรื่องยังเงียบ
“รองผู้อำนวยการบอกแค่ว่า เขาทำแบบนี้กับคนอื่นด้วย และให้เด็กระวังตัว ดิฉันจึงไปแจ้งตำรวจ ระหว่างที่มีการดำเนินคดี เพื่อนครูรวมเงินไปประกันตัว ทำให้เขายังสอนที่เดิม ผ่านไป 1 ปี ถึงมีการย้ายให้ไปช่วยงานในเขตการศึกษา” ผู้ปกครอง ระบุ
เธอบอกอีกว่า เพื่อนลูกถูกกระทำชำเราไปแล้ว 1 คน และอีกคนโดนชวนเข้าห้อง และได้ยินมาว่า ก่อนย้ายมาที่นี่ เคยก่อเหตุลวนลามนักเรียนมาแล้ว
เช่นเดียวกับเด็กหญิงคนหนึ่งจากจังหวัดร้อยเอ็ดที่เคยถูกครู “ชำเรา” ป้าของเธอเปิดเผยว่า ผู้อำนวยการโรงเรียนขอว่า ไม่ให้แจ้งความ ก่อนที่ครูผู้ก่อเหตุจะพาภรรยาที่เป็นครูโรงเรียนเดียวกันและพ่อตาที่มีตำแหน่งใหญ่ในพื้นที่มาไกล่เกลี่ยที่บ้าน โดยเสนอจ่ายเงินชดเชย 70,000 บาท ตอนนี้เขาก็สอนที่นี่เหมือนเดิม
นอกจากนี้ ยังมีอีกกว่า 16 กรณีที่ กองบรรณาธิการลูกศิลป์ คณะ ICT มหาวิทยาลัยศิลปากร สืบค้นเหตุการณ์ “ละเมิด” ในสถานศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาของรัฐ ช่วงเดือนสิงหาคม - พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา โดยทั้งหมดไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว ไม่ร้องเรียนเพราะอับอาย และเชื่อว่า โรงเรียนจะไม่จัดการให้
ไม่ใช่แค่ในโรงเรียนรัฐ โรงเรียนเอกชนเรื่องอื้อฉาวทำนองนี้ก็ “เงียบเชียบ” ไม่แพ้กัน
นักเรียนหญิงคนหนึ่งในโรงเรียนเอกชนย่านนนทบุรี ประสบเหตุถูกล่วงละเมิดทางเพศ แต่โรงเรียนก็ไม่ทำอะไรมากไปกว่าย้ายครูไปอีกแผนก จนเธอต้องย้ายโรงเรียนเพราะหวาดกลัว
ส่วนนักเรียนหญิงอีกคนหนึ่งในโรงเรียนเอกชนชื่อดังของจังหวัดนครสวรรค์ ถูกครูสอนคอมพิวเตอร์ตั้งกล้องแอบถ่ายใต้กระโปรงในห้องเรียน เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พอถูกจับได้ โรงเรียนก็แค่ย้ายครูคนดังกล่าวไปสอนในโรงเรียนเอกชนอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กัน
“ที่นี่ไม่มีเรื่องครูถ่ายคลิปฉาว” ผู้อำนวยการของโรงเรียนที่เกิดเหตุปฏิเสธทันทีก่อนที่ทีมข่าวจะเอ่ยปากถาม
เช่นเดียวกับผู้อำนวยการโรงเรียนเอกชนที่รับครูคนดังกล่าวไปสอน ยืนยันว่า “รู้จักครูในจังหวัดทุกคน ถ้ามีเหตุร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้นก็ต้องทราบแล้ว”
เหตุครูล่วงละเมิดทางเพศนักเรียน ถ้าไม่ปรากฏเป็นข่าวตามหน้าสื่อ โรงเรียนและผู้บริหารก็มักปกปิด ไกล่เกลี่ยให้ยอมความ กระทั่งช่วยเหลือรับรอง ไม่ตั้งกรรมการสอบสวนทำให้ครูเหล่านี้ยังสอนหนังสือในโรงเรียนต่อไปได้
ขณะที่อีก 13 กรณีในกรุงเทพฯ นักเรียนที่ถูกกระทำบอกตรงกันว่า ตัดสินใจไม่เล่าให้คนอื่นฟังว่า โดนครูลูบไหล่ ลูบแขนขา เพราะไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าไปร้องเรียน ผู้บริหารก็คงไม่ดำเนินการอะไร
แน่นอนว่า อีกไม่ต่ำกว่า 20 กรณีที่ตรวจสอบได้นี้จะไม่ถูกระบุอยู่ในรายงานการละเมิดฉบับดังกล่าว
ภาพประกอบจาก Internet
* ปัญหาที่ตัวปัญหา
ตัวเลขรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ ก.ค.ศ. กลุ่มวินัยและนิติการ ปีงบประมาณ 2554-2559 ระบุว่า มีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ถูกดำเนินการทางวินัยที่ยุติแล้วในความผิดฐานชู้สาว อนาจาร และล่วงละเมิดทางเพศ 190 คน
ขณะที่ รายงานสถิติการรับเรื่องร้องเรียนของศูนย์บริการช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกกระทำรุนแรง หรือ ศูนย์พึ่งได้ ตั้งแต่ปี 2556-2560 ระบุว่า ได้ช่วยเหลือเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ถูกกระทำความรุนแรงทางเพศที่เกิดเหตุในโรงเรียน 879 แห่ง มีผู้กระทำเป็นครูจำนวน 168 คน
วาสนา เก้านพรัตน์ ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เปิดเผยว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนนักเรียนถูกครูล่วงละเมิดทางเพศประมาณ 100 เรื่องต่อปี ส่วนใหญ่โรงพยาบาลจะรายงานมา มีหลักฐานแน่ชัดเป็นผลตรวจร่างกาย
“มูลนิธิได้เข้าร่วมเป็นกรรมการสืบหาข้อเท็จจริงด้วย พบว่าแทบจะทั้งหมดนักเรียนถูกข่มขู่จากครูผู้ก่อเหตุ และพบว่าครูแทรกแซงมาที่พ่อแม่ เช่น เสนอแต่งงานกับนักเรียนที่ถูกกระทำจนตั้งครรภ์ หรือเสนอจ่ายเงินแลกกับการไม่แจ้งความ รวมถึงขู่เด็กและผู้ปกครองว่าจะฟ้องกลับ จึงเชื่อได้ว่ายังมีกรณีอื่นๆ ที่ไม่มีการแจ้งมา หรือมีการไกล่เกลี่ยกันให้ยอมความ หรือถูกขู่จนไม่กล้าแจ้งความอีกเป็นร้อยกรณีซึ่งไม่ได้ถูกบันทึกไว้” วาสนาบอก
โดยขั้นตอนการดำเนินการต่อครูผู้กระทำผิด พบว่า ทำได้ 3 ทางคือ ดำเนินการทางวินัยข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ดำเนินการทางจรรยาบรรณผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และดำเนินการตามกฎหมาย
สำหรับ พ.ร.บ.สภาครูและบุคคลากรทางการศึกษา 2546 ระบุว่า ครูประพฤติชู้สาวกับนักเรียน หรือ มีความผิดทางเพศ เช่น ข่มขืนกระทำชำเรา ต้องถูกถอนหรือพักใช้ใบประกอบวิชาชีพ แต่จากรายงานสรุปผลการดำเนินการพฤติกรรมประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554-2560 คุรุสภา ระบุว่า เพิกถอนใบประกอบวิชาชีพไปแล้ว 4 คน และพักใช้ใบประกอบวิชาชีพ 10 คน จากสถิติ 5 ปีย้อนหลังที่พบว่ามีการละเมิดไม่ต่ำกว่า 200 ราย
หรือนั่นแปลว่า มีกระบวนการปกป้อง และปกปิดกันเอง?
ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า ที่เพชรบูรณ์มักเกิดเหตุในโรงเรียนนอกเขตอำเภอเมือง ส่วนมากเป็นการแตะเนื้อต้องตัว กอด จับหน้าอก ไม่ถึงขั้นกระทำชำเรา และเกิดกับนักเรียนมัธยม ส่วนมากเป็นช่วงมีกิจกรรมแล้วเลิกดึก ครูผู้ชายที่มีฝีมือก็ให้เด็กมาฝึกซ้อมกีฬาสี หรือตอนเข้าค่ายลูกเสือ ดึกๆ ก็เรียกมากอด
“พอเรื่องแดง ผู้อำนวยการจะเรียกครูมาสอบถามแล้วก็บอกให้ไปเคลียร์กันเองหรือช่วยเคลียร์กับผู้ปกครองด้วย มักจบด้วยการจ่ายค่าชดเชยหลักหมื่น ไม่ถึงขั้นตั้งกรรมการสอบ หากเรื่องดังขึ้นหน่อย เขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดจะเข้ามาไกล่เกลี่ย อย่างมากจบโดยผูกข้อมือ ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไม่ได้จัดงานแต่งงาน แล้วก็สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้นักเรียน ชาวบ้านเองก็ยังให้เกียรติครู จึงไม่ได้เล่นงานกันถึงขั้นเอาออก แค่ให้ย้ายออกถือว่าแรงสุดแล้ว แต่ก็แทบจะไม่มี”
ด้านผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสุรินทร์ยอมรับว่า ได้ยินเรื่องครูล่วงละเมิดทางเพศนักเรียนในจังหวัดทุกปี แต่เมื่อผู้ปกครองร้องมายังโรงเรียน ผู้บริหารมักจะดึงเรื่องไม่ตั้งกรรมการสอบและให้ไปไกล่เกลี่ยกัน เรื่องก็จบไปอย่างเงียบ ๆ
“ถ้าไม่เป็นข่าว แม้เรื่องจะถึงเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัด แต่เขาจะบล็อกแล้วให้ครูไปเคลียร์กับผู้ปกครอง มีทั้งจ่ายเงินประมาณ 200,000 บาท หรือจบกันด้วยการแต่งงาน บางโรงเรียนผู้อำนวยการทำเสียเองด้วย”
ภาพประกอบจาก Internet
*ตัดราก เพื่อถอนโคน(ละเมิด)
กรณีคำสั่งย้ายด่วน ผู้อำนวยการโรงเรียนใน จ.นครราชสีมา และคำยืนยันว่าจะ “เอาจริง” ของทั้ง นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และแนวทางการดำเนินงานของ สพฐ. จากกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์กับเด็กนักเรียน โดยเฉพาะประเด็นชู้สาว จะมีการทบทวนมาตรการปฏิบัติกรณีเกิดเหตุการณ์กระทำความรุนแรงต่อเด็กในสถานศึกษา พ.ศ.2550 ซึ่งต้องดูว่า มาตรการ หลักเกณฑ์ ระเบียบที่กำหนด รวมถึงการออกแบบจำลองเพื่อป้องกันภัยต่างๆ ยังคงใช้ได้ในสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่
นี่ถือเป็นก้าวแรกของการคลี่ปมปัญหาของ “ระบบการจัดการของบุคลากรทางการศึกษา” เท่านั้น เพราะสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือระบบเหล่านี้ เรื้อรังมานานพอสมควรแล้ว
วราภรณ์ แช่มสนิท ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ สมาคมเพศวิถีศึกษา กล่าวว่า ประเทศไทยมีขั้นตอนสอบสวนการละเมิดทางเพศล่าช้าและยืดเยื้อ สะท้อนวัฒนธรรมเรื่องเพศที่ไม่คุ้มครองผู้ถูกละเมิด ทำให้ผู้ถูกกระทำไม่กล้าเปิดเผย ส่งผลให้การล่วงละเมิดทางเพศยังคงอยู่
“พฤติกรรมช่วยกันปกปิด ช่วยกันไกล่เกลี่ย ทำให้การล่วงละเมิดทางเพศนักเรียนเกิดขึ้นเรื่อยๆ การแก้ไขต้องตั้งต้นที่คุ้มครองสิทธินักเรียน และจัดการครูผู้ก่อเหตุเด็ดขาด”
เกศธิดา เขียวสอาด ผู้อำนวยการสำนักทะเบียนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ คุรุสภา ชี้แจงว่า เคยขอร่วมมือ ก.ค.ศ.และ สพฐ.ให้ส่งเรื่องมา แต่ก็ไม่ค่อยส่งมา คุรุสภาจึงไปตรวจสอบไม่ได้เพราะอยู่นอกเขตอำนาจ นอกจากจะมาร้องกับคุรุสภาโดยตรง
ขณะที่ บัณฑิตตา จินดาทอง นิติกรเชี่ยวชาญ รักษาการผู้อำนวยการกลุ่มกำกับดูแลจรรยาบรรณวิชาชีพ สำนักจรรยาบรรณวิชาชีพและนิติการ คุรุสภา ชี้แจงว่า ปี 2559-2560 มีเรื่องครูละเมิดทางเพศนักเรียนค้างพิจารณา เพราะไม่มีคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.) ที่จะมาเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพครู เนื่องจากคำสั่ง คสช. ที่ 7/2558 วันที่ 17 เมษายน 2558 ให้ปลดกรรมการคุรุสภาซึ่งเป็นคนตั้งกมว.
ด้าน ธีร์ ภวังคนันท์ ผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน สพฐ. ชี้แจงว่า ระยะเวลาการสอบครูละเมิดทางเพศนักเรียน ถ้ามีผู้เสียมากก็จะสืบพยานนาน เช่น กรณีผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในภาคเหนือลวนลามเด็กนักเรียน ใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน แต่ระหว่างสอบสวนก็จะย้ายนักเรียนไปเรียนที่อื่นตามความสมัครใจ
ส่วน ปราณี ศิวารมณ์ รองเลขาธิการก.ค.ศ. เสริมว่า ก.ค.ศ.มีหน้าที่ตรวจสอบสำนวนจากกรรมการสอบสวน ก่อนที่จะตัดสินวินัยครู และส่งไปให้คุรุสภาถอดใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งความล่าช้าเกิดจากระเบียบเปิดช่องให้อนุกรรมการก.ค.ศ.ขยายเวลาสืบสวนได้คราวละ 60 วัน เช่น ลงพื้นที่แล้วไม่พบพยาน หรือครูผู้ถูกสอบยื่นเรื่องอุทธรณ์คำตัดสิน
นอกจากนี้ อนุกรรมการที่ตั้งขึ้นอาจไม่ชำนาญทางกฎหมาย ทำให้สอบไม่ครบทุกประเด็นจึงต้องสอบใหม่ ที่สำคัญระเบียบไม่ได้กำหนดเวลาสิ้นสุดให้ชัดเจน ทำให้เรื่องโดนขยายเวลาไปเรื่อยๆ
วันนี้ คำถามสำคัญสำหรับการละเมิดในสถานศึกษาจึงน่าจะอยู่ตรงที่ว่า ถึงเวลาหรือยังที่ระเบียบปฏิบัติ และข้อกำหนดนโยบายจะถูกยกเครื่องใหม่ทั้งระบบเสียที.
หมายเหตุ : รายงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือของกองบรรณาธิการจุดประกาย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กับ นักศึกษาเอกวารสารและหนังสือพิมพ์ คณะไอซีที ม.ศิลปากร