PLANB - ซื้อ

PLANB - ซื้อ

การซื้อกิจการใหม่...เพิ่มโอกาสในการเติบโต

แผนการเข้าซื้อหุ้นบางส่วนใน BMN ช่วยยืนยันแนวโน้มของธุรกิจในระยะยาวในระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT และการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ BEM ซึ่งการซื้อสินทรัพย์ในครั้งนี้น่าจะคลายความกังวลของตลาดและสร้างแนวโน้มเชิงบวกต่อราคาหุ้น (อีกทั้งเราคาดว่าการเติบโของกำไรจะแข็งแกร่งในไตรมาส 1/60) และยังมีอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรระยะยาวจากการลงทุนและการซื้อกิจการในอนาคต มูลค่าหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 34.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 41.6 เท่าและค่าเฉลี่ยกลุ่มสื่อไทยที่ 39.7 เท่าอยู่ค่อนข้างมาก

การเข้าซื้อหุ้นในธุรกิจสื่อของ BEM เป็นโอกาสในการขยายการเติบโต

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา PLANB ประกาศว่าจะซื้อหุ้น 19.48% ของบริษัท แบงคอก เมโทร เน็ตเวิร์คส์ จำกัด(BMN) ซึ่งมี BEM เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ PLANB มายาวนาน โดย BMN เป็นผู้บริหารจัดการพื้นที่โฆษณาและพื้นที่เชิงพาณิชย์ในระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สายสีน้ำเงินปัจจุบันทั้งพื้นที่สถานีและขบวนรถไฟ โดยเรามีมุมมองเชิงบวกต่อดีลนี้เนื่องจากจะเพิ่มโอกาสแก่บริษัทในการขยายสื่อโฆษณานอกบ้านใน MRT และเพิ่มโอกาสในการเติบโตไปกับการขยายตัวของพื้นที่เชิงพาณิชย์นอกจากนั้นโอกาสในการเติบโตในอนาคตค่อนข้างชัดเจน ทั้งจากการเปิดดำเนินงานของโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินซึ่งจะเพิ่มอีก 20 สถานี และรถไฟอีก 35 ขบวน รวมทั้งมีโอกาสในการเติบจากการทำธุรกิจในสถานีรถไฟฟ้าอีก 16 สถานี ของรถไฟฟ้าสายสีม่วง อย่างไรก็ตามโอกาสในการพัฒนาสื่อโฆษณายังคงต้องรอการอนุมัติจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (MRTA)

คาดรับรู้ผลประโยชน์ไม่มากนักในระยะแรก

เรามองว่าเงินลงทุนรวมที่ 262 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น PER ปี 2560 ที่ประมาณ 30 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาค 26% นั้นสมเหตุผลสมผล ทั้งนี้ PLANB จะใช้กระแสเงินสดภายในกิจการเพื่อจ่ายชำระค่าหุ้นดังกล่าว (บริษัทมีสถานะการเงินเป็นเงินสดสุทธิ ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2560) ทั้งนี้คาดว่าดีลจะเสร็จสมบูรณ์ก่อนวันที่ 31 มี.ค. และ PLANB จะเริ่มรับรู้ผลประโยชน์ได้ทันทีหลังจากนั้น อย่างไรก็ตามเราคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในระยะแรก แต่มีโอกาสจะเพิ่มขึ้นถ้าหากบริษัทเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในอนาคต

คาดกำไรไตรมาส 4/60 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ YoY

เราคาดว่า PLANB จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/60 ที่ 97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78% YoY โดยปัจจัยหนุนการเติบโตของกำไร YoY ได้แก่ 1) อัตราการเช่าใช้สื่อโฆษณาเดิม (มาอยู่ที่ 70% จากเดิม 52% ในไตรมาส 4/59), 2) รายได้จากโครงการใหม่ที่เปิดตัวในช่วงปี 2560 และ 3) รายได้ค่าธรรมเนียมจากการบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และบริษัทไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก จำกัด ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเราคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/60 จะลดลง 36% QoQ เนื่องจากการชะลอตัวของเม็ดเงินโฆษณาในช่วงเดือน ต.ค. 2560 เราจึงทำการปรับลดคาดการณ์กำไรปี 2560 ลง 7% มาอยู่ที่ 469 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับประมาณการกำไรไตรมาส 4/60 หากมองไปข้างหน้า การเติบโตของกำไรคาดว่าจะกลับมาแข็งแกร่งทั้ง YoY และ QoQ ในไตรมาส 1/61 หนุนโดยการฟื้นตัวของเม็ดเงินโฆษณา