'ก้อย รัชวิน' พูดจากใจ หลังถูกถามแพลนวิวาห์ 'พี่ตูน'

'ก้อย รัชวิน' พูดจากใจ หลังถูกถามแพลนวิวาห์ 'พี่ตูน'

"ก้อย-รัชวิน วงศ์วิริยะ" ไม่สนดราม่า แจงเหตุไปวิ่ง ไม่เร่งวิวาห์ “ตูน บอดี้สแลม” อาทิวราห์ คงมาลัย เปรยยังไม่ถึงเวลา

หลังจากจบสิ้นภารกิจวิ่งให้โครงการ “ก้าวคนละก้าว” ไปแล้ว ล่าสุดแว่วว่าสาว “ก้อย” รัชวิน เตรียมลงวิ่งมาราธอนแรกที่เกียวโตในเดือนหน้า ได้สอบถามเรื่องวิ่งมาราธอนที่ญี่ปุ่นในงาน “PPTV World Class” ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ได้ความว่า

"ตอนนี้ก็เป็นช่วงปรับตัวเพราะเราไปอยู่ตรงนั้นมาเกือบ 2 เดือน ก็มีอะไรในร่างกายที่มันเปลี่ยนแปลงไป ตอนที่วิ่งก้อยรู้สึกว่าตัวเองดึงพลังงานจากอนาคตไปใช้ค่อนข้างเยอะ พอกลับมาเอายังรู้สึกอเลิทมาก แต่ควอลิตี้ของเรายังไม่ถึงขั้นนั้น ช่วงนี้จะนอนไม่ค่อยหลับ เพราะร่างกายจะตื่นตัวตลอดเวลา (ตูนเป็นอย่างไรบ้าง) พี่ตูนก็ค่อยๆ ปรับตัวเหมือนกันเหมือนกัน ช่วงนี้เป็นช่วงที่เรากลับมาพักและฟื้นฟูร่างกาย ตอนนี้ติดตื่นเช้า ส่วนการวิ่งมันเหมือนเป็นกิจวัตรของเราไปแล้ว (สุขภาพก้อยตอนนี้เป็นอย่างไร) ตอนวิ่งเราไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แต่พอกลับมาพบว่าตัวเองมีปัญหาที่เข่าและสะโพก ระหว่างที่เราวิ่งนั้นเราไม่ได้รักษา พอกลับมาคุณหมอบอกว่าต้องทำกายภาพเพื่อที่จะได้กลับมาวิ่งได้เหมือนเดิม ตอนนี้ก็ไปทำกายภาพ ไปฝังเข็ม เวลาวิ่งถ้าปวดหรือเจ็บก็ต้องหยุดพัก (มีการวางแผนการใช้ชีวิตอย่างไร) คุณหมอบอกว่าวิ่งได้แต่ต้องไม่หักโหมจนเกินไป ส่วนพี่ตูน จริงๆ ที่ขาของเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่จะเจ็บขากับสะบักแต่ก็ไม่มีผลอะไร (อาการบาดเจ็บมีผลต่อการวิ่งระยะยาวไหม) คือ โชคดีที่เรารู้ตัวว่าร่างกายเรายังไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราก็เลยทำกายภาพและปรึกษาคุณหมอ คุณหมอก็แนะนำให้พัก แต่เราไม่อยากพัก คือตอนนี้ก้อยมีเวลาซ้อมน้อยมาก มีเวลาแค่ 6 อาทิตย์ก่อนไปวิ่งมาราธอนที่ญี่ปุ่น เราก็เลยรู้สึกว่าทำอย่างไรก็ได้ให้หายให้เร็วที่สุด คุณหมอแนะนำอะไรเราก็ต้องฟัง เพื่อที่อาการจะได้หายเร็วขึ้น

(คุณหมอบอกจุดที่เราต้องระวังที่สุดไหม) ของก้อยอาจจะไม่ได้ดูแลมาก คือหลังจากฝังเข็มเราต้องหยุดพัก 1 อาทิตย์ แต่เราเป็นคนดื้อ เรารู้สึกว่าเราอยากจะซ้อมอยากจะวิ่ง ปรากฏว่าวิ่งไปได้สักพักเราก็จะรู้สึกปวดก็เลยรู้ว่ามันไม่ใช่ ตอนนี้เราก็เลยกลับมาดูแลตัวเอง กินยา ทำกายภาพ ทำทุกอย่างให้หายให้เร็วที่สุด (ทำไมถึงไม่หยุด) จริงๆ ระหว่างที่ก้อยหยุดวิ่ง ก้อยฟื้นฟูตัวเองตลอด เราเปลี่ยนการออกกำลังไปเข้าฟิตเนสเน้นออกกำลังกายส่วนอื่นแทนการวิ่ง คือเป้าหมายเรามันใหญ่ มันชัดจนเรารู้สึกว่าถ้าเราหยุดตอนนี้เราจะไปไม่ถึงตอนนั้น (ที่ญี่ปุ่นตูนไปด้วยไหม) ไม่ได้ไป ช่วงที่วิ่งก้าวคนละก้าวก็มีคนชวนว่ามีงานวิ่งที่เกียวโต เราก็รู้สึกว่าถ้าเราจะลองวิ่งมาราธอนครั้งแรกในชีวิตก็อยากลงสนามอะไรแบบนี้ คือคนญี่ปุ่นจะคลั่งไคล้การวิ่งมาก การจัดงานของเขาจะเป็นอะไรที่เป็นสากล คนทั่วโลกจะมาลงวิ่งเยอะมากและงานนี้มีคุณหมอไปด้วย" ก้อยกล่าว

001_เธšเธตเธก เน€เธ—เธจเธเธฒเธฅเธซเธ™เธฑเธ‡_3

เมื่อถามถึงความรู้สึกที่ ตูน บอดี้สแลม ไปวิ่งเป็นเพื่อนนักแสดงสาวที่สวนผึ้ง ซึ่งสาวก้อยแจงว่า "ก็ดี เพราะก้อยอยากซ้อมก่อนไป อยากวิ่งยาวๆ ก็เลยมาลองที่สวนผึ้งก่อน (มีเคล็ดลับอย่างไรวิ่งไปสวยไป) พอเวลาที่เรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำมันก็จะมีความสุขจากข้างในของเราเอง (รู้สึกอย่างไรคนชมว่าขนาดวิ่งก็ยังเป๊ะ) ก็ไม่เป๊ะนะ ก็มีเหงื่อโทรมกายแลย (แต่รูปออกมาดูดี) มันก็รูปอ่ะเนอะ คือเราวิ่งจนเรารู้ว่าถ้ากล้องมาเราจะต้องทำอย่างไร คนเราไม่ได้เป๊ะตลอดเวลา (ช่วงวิ่งปฎิเสธงานไปเยอะไหม) ก็พอสมควร ถามว่าเสียดายไหม ไม่รู้สึกเสียดายเลยเพราะมันคือสิ่งที่เราเลือกและตัดสินใจแล้ว ที่ผ่านมาเราทำงานตรงนี้เราได้รับมาเยอะแล้ว ในวันหนึ่งที่เราตัดสินใจจะเป็นผู้ให้บ้าง เราจะไม่เสียดายสิ่งที่เข้ามาในตอนนั้น แต่เราเป็นห่วงคนที่จะเข้ามาแล้วเราต้องปฏิเสธไปมากกว่าและหวังว่าเขาจะเข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรและทำเพื่อใครอยู่ (วิ่งเสร็จแล้วชีวิตก้อยเปลี่ยนไปไหม) เปลี่ยน เป็นความรู้สึกทั้งภายในและภายนอก ว่าเราได้ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ด้เป็นส่วนของฟันเฟืองเล็กๆ ในการทำภารกิจของพี่ตูน คือก้อยมองตัวเองเป็นทีมงานคนหนึ่งซึ่งเราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำต่อไปเรื่อยๆ แล้วเราไม่คิดว่าสิงที่เราทำจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอย่างที่เห็น สิ่งที่พี่ตูนทำทำให้ทุกคนออกมาเป็นผู้ให้ ด้วยกันออกมาดูแลสุขภาพร่างกาย เป็นสิ่งที่เราไม่ได้แต่มีคนเห็นแล้วทำตาม ตัวก้อยเองก็เป็นคนหนึ่งที่เห็นพี่ตูนทำแล้วเราก็ทำตาม ตัวก้อยเองก็เป็นคนหนึ่งที่เห็นพี่ตูนทำแล้วเราก็ทำตาม จนวันนี้เราเปลี่ยนตัวเอง เรากลายเป็นคนที่ออกกำลังกายดูแลสุขภาพก็อยากให้คนอื่นออกมาดูแลด้วย ส่วนด้านในเรียกว่าเรามีความสุขกับการให้มากขึ้นและอย่ากทำามากขี้น (กับยอดเงินมีการติดตามไหม) รู้สึกว่าจะได้ 1,300 ล้านกว่าๆ พี่ตูนน่าจะติดตามโดยปกติ ก้อยก็ได้ฟังข่าวออกมาบ้าง ตอนนี้ทราบเพียงว่าเขายังไม่ปิดรับบริจาค เขายังรับบริจาคเรื่อยๆ จนถึงเดือนพฤษภาคม" นักแสดงสาวแจง

เมื่อถามถึงข่าวดราม่าที่ออกมาเยอะมาก ซึ่งก้อยแจงว่า "พูดตรงๆ ว่าระหว่างที่เราวิ่ง ก้อยไม่ได้เสพโซเชียล ไม่ได้ดูข่าวสักเท่าไหร่ ก็เลยไม่รู้เรื่องว่าข้างนอกเขาพูดถึงอย่างไรกันบ้าง คือเราก็โฟกัสเรื่องการวิ่งอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเรามองสิ่งที่สำคัญที่เราจะทำมากกว่า ตัวพี่ตูนเองเองก้อยไม่แน่ใจว่าเขารับทราบเรื่องพวกนี้หรือเปล่า ก้อยรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่เราทำ เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นกับคนไทยทุกคน อะไรที่เกิดขึ้น รวมถึงเรื่องดราม่าต่างๆ เราวางมันไว้ก่อน เพราะเรารู้สึกว่ามันมีสิ่งที่สำคัญและใหญ่กว่านั้นที่เราจะต้องทำ ถามเครียดไหม ก้อยไม่ได้มองตรงนั้น คือทุกอย่างที่เราทำมันมีทั้งคนที่เข้าใจและไม่เข้าใจ คือทุกอย่างในชีวิตมันมองได้ 2 ด้านอยู่แล้ว แต่ถ้าเรามัวแต่ไปกังวลกับสิ่งนั้น และทำให้สิ่งที่เราต้องการทำจริงๆ มันพลาดไป มันน่าเสียดาย เราอยากเห็นคนมีความสุขเพราะฉะนั้นเราทำทุกอย่างด้วยความสุข และคิดแต่ในสิ่งที่ดี คิดแต่ภาพบวกดีกว่า

(เรื่องแต่งงานว่าอย่างไร) ยังไม่มี (เห็นบอกว่าต้องหลังออกอัลบั้มก่อน) เขาบอกอย่างนั้นเหรอ เขาว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น ก้อยไม่ได้เร่งรัดเพราะทุกวันนี้เรายังสนุกดีและมีความสุข กับการได้เดินทางได้ด้วยกันเรื่อยๆ มันก็คงเป็นแบบนี้แหละ (ได้คุยกันไหม) คือเราคุยกันเป็นอย่างๆ ที่ผ่านมาก็คุยกันแต่เรื่องวิ่ง ในเมื่อเราตัดสินใจลงมาทำเพื่อคนอื่น มันก็จะไม่มีเรื่องของเราสองคน เหมือนกับเราช่วยกันทำภารกิจให้สำเร็จ ก้อยเองก็อยากให้เขามีสมาธิกับการวิ่ง เพราะมันต้องใช้หลายอย่าง ทั้งร่างกาย จิตใจ (นาทีที่ "ดู๋" สัญญา คุณากร ถามเรื่องแต่งงานรู้สึกอย่างไร) ณ จุดนั้นเราก็ทำตัวไม่ถูกก็อยากลงเวทีไปเลย มันคงยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม ก็ขอบคุณทุกคนที่ช่วยเชียร์ เพียงแต่ว่ามันยังไม่ใช่ ณ ตรงนั้น ก้อยว่าก้อยรู้จักพี่ตูนดี รู้สึกว่าดีแล้วที่มันจบลงแบบนี้ เพราะเป็นช่วงที่คนไทยทุกคนได้แสดงความยินดีร่วมกัน" ก้อย กล่าวปิดท้าย