'โนโรไวรัส' คลื่นไส้ รุนแรง.. อาจถึงตาย!

'โนโรไวรัส' คลื่นไส้ รุนแรง.. อาจถึงตาย!

"โนโรไวรัส" คลื่นไส้ รุนแรง.. อาจถึงตาย!

ช่วงนี้ในพื้นที่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัดบางพื้นที่ พบคนไข้ป่วยด้วยโรคท้องร่วง ท้องเสีย เป็นจำนวนมาก ซึ่งเกิดจาก เชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ชื่อ "โนโรไวรัส" ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการอาเจียน และท้องร่วงอย่างรุนแรง



โนโรไวรัส เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบจากไวรัสในมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกวัย เชื้อนี้ติดต่อผ่านทางการกินอาหาร หรือน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระของผู้ป่วย จากการสัมผัสคนสู่คน และจากการสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนละอองอาเจียนของผู้ป่วย


ที่น่าตกใจกคือ อาการท้องเสียที่เกิดจากเชื้อ "โนโรไวรัส" อาจทำให้เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ โดยเชื้อนี้พบการระบาดมากช่วงฤดูหนาว มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม ทนความร้อนได้ 60 องศาฯ ทนต่อน้ำยาฆ่าเชื้อ และอยู่รอดบนพื้นผิววัตถุได้นานหลายวัน


หน่วงยงานของ กระทรวงสาธารณสุข เคยออกมาเตือนและให้ความรู้เกี่ยวกับเชื้อโนโรไวรัส ระบุว่า อาการของโรคส่วนใหญ่มักทำให้มีอาการคลื่นไส้รุนแรง อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดท้องและท้องเสีย รวมทั้งอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ หนาวสั่น และปวดกล้ามเนื้อ โดยกลุ่มที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือเด็กและผู้สูงอายุ


สำหรับผู้สูงอายุหรือเด็กที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือภูมิคุ้มกันถูกกดไว้ เมื่อป่วยด้วยการติดเชื้อโนโรไวรัสแล้วอาจมีอาการอุจจาระร่วงเรื้อรังนานนับเดือน หรือมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้


กรณีที่ผู้ใหญ่ติดเชื้อมาจากเด็กที่ป่วย ผู้ใหญ่มักไม่แสดงอาการ แต่จะขับเชื้อออกมากับอุจจาระ ซึ่งมีโอกาสแพร่กระจายเชื้อสู่คนอื่นต่อไป การรักษาท้องเสียจากเชื้อโนโรไวรัสในเบื้องต้นคือรับประทานเกลือแร่ทดแทนการสูญเสียน้ำ แต่หากมีอาการรุนแรงต้องรีบพบแพทย์ทันที


การติดต่อ
เชื้อโนโรไวรัส ติดต่อจากคนสู่คนได้หลายทาง ที่พบมากคือติดเชื้อจากการรับประทานอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโนโรไวรัส ที่อาจมาจากคนปรุงอาหารที่ติดเชื้อนี้แล้วไม่ระมัดระวังสุขอนามัย หรือภาชนะที่ใช้รับประทานอาหาร ก็ทำให้เชื้ออาจปนเปื้อนไปกับอาหารได้ โดยเฉพาะอาหารประเภทสลัด แซนวิช โดยเชื้อโนโรไวรัสมีระยะการฟักตัว 12 ชั่วโมง ถึง 2 วัน


การรักษา  
โรคโนโรไวรัส รักษาตามอาการ อาเจียน ให้ยาแก้อาเจียน ถ้าถ่ายมาก ขาดน้ำ ให้สารละลายเกลือแร่หรือน้ำเกลือ การให้ยาปฏิชีวนะ จึงจะไม่ได้ประโยชน์ในการรักษาการติดเชื้อโนโรไวรัส


วิธีการป้องกันโนโรไวรัส
-ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด-หลีกเลี่ยงน้ำและอาหารที่ไม่สะอาด-ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการทำอาหารให้ผู้อื่นรับประทาน หรือใช้หลักการ "กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ" -ควรล้างมือด้วยสบู่ ถูให้ทั่วนาน 15 วินาที