ศาลมุ่งช่วยสิทธิคนจน เผย7ปีคดีสำเร็จมูลค่าแปดแสนล้าน

ศาลมุ่งช่วยสิทธิคนจน เผย7ปีคดีสำเร็จมูลค่าแปดแสนล้าน

ศาลยุติธรรม ตั้งเป้าช่วยคนจนงดเว้นค่าธรรมเนียมศาลแพ่ง-ได้ประกันคดีอาญา เผยคดีแพ่งระงับข้อพิพาท7ปีคดีสำเร็จ นับเป็นมูลค่า8แสนล้าน

เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 61 นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้เปิดเผยถึงแผนบริหารศาลยุติธรรม ปีศักราชใหม่ 2561 ว่า ในกระบวนการศาล ทั้งส่วนของผู้เสียหาย ผู้ต้องหาและจำเลย จะดูแลเพิ่มโอกาสให้เข้าถึงความยุติธรรม ตามที่รัฐธรรมนูญฯ บอกไว้ ส่วนหนึ่งที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์มาก ก็คือระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีที่จะทำอย่างไรให้มีช่องทางทำให้การตกลงเกิดขึ้นได้ เพราะว่า 1.ถ้าตกลงกันได้ในชั้นต้น ก็ลดปริมาณคดีเข้าสู่ศาลด้วย 2.ถ้าเขาพอใจทั้งสองฝ่าย คดีที่จะขึ้นไปสู่ศาลสูงก็ลดน้อยลง นี่ก็เป็นมาตรการส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญในการลดปริมาณคดีที่เข้าสู่ศาล และผลที่ประชาชนได้รับคือความพึงพอใจที่ตกลงกันเองซึ่งคือยุติธรรมทางเลือก เพราะถ้าให้ศาลตัดสินจะมีทั้งคนพอใจและไม่พอใจ

ขณะที่เรื่องข้อสัญญาและการค้านั้น เราก็มีการระงับข้อพิพาททางแพ่งโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการ ที่ได้รับการดูแลโดยสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม (TAI) ซึ่งมีผู้พิพากษาจบการศึกษาระดับปริญญาเอก จากประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้อำนวยการบริหาร ก็ได้รับความเชื่อถือจากคู่กรณี โดยปี 2560 มีคดีอยู่ระหว่างดำเนินการ 310 คดี มูลค่า 30,900 ล้านบาท ซึ่งเสร็จไป 134 คดี ส่วนในปี 2559 คดีดำเนินเสร็จสิ้นไป 103 คดี ทุนทรัพย์ 40,129 ล้านบาท , ปี 2558 ทุนทรัพย์ 86,191 ล้านบาท โดยย้อนไปเมื่อเริ่มดำเนินสถาบันฯ ครั้งแรกรับเพียงเดียวเท่านั้นมูลค่าเริ่มต้น 12 ล้านบาท แต่ถ้านับรวมตั้งแต่ปี 2533 จนถึงปัจจุบันคดีที่รับทั้งหมด 2,337 เรื่อง เสร็จแล้ว 2,045 เรื่อง ทุนทรัพย์ที่พิจารณาแล้วทั้งหมด 838,081,700,223 บาท ก็ถือว่าสำเร็จ

อีกส่วนคือคดีแพ่งทั่วไปที่พยายามจะทำให้ระบบการงดเว้นค่าธรรมเนียมศาล กรณีที่ประชาชนยากจนไม่มีเงินจ่ายค่าฤชาธรรมเนียมศาลมีประสิทธิภาพ อันนี้ก็จะเป็นประโยชน์กับผู้ด้อยโอกาส ดังนั้นเราก็จะปรับปรุงกระบวนการทำงานให้รวดเร็วขึ้น จะทำให้ศาลสามารถพิจารณาคดีได้อย่างรวดเร็ว เพราะการจะพิจารณางดเว้นค่าธรรมเนียมศาลก็ขึ้นกับข้อเท็จจริงในแต่ละเรื่อง โดยปัญหาส่วนหนึ่งประชาชนก็อาจจะขาดข้อแนะนำจากทนายความ ที่ปรึกษาทางกฎหมาย

“สิ่งที่ศาลกำลังทำคือ คดีที่มีทุนทรัพย์เล็กๆน้อยๆ จะทำอย่างไรให้กระบวนพิจารณาเรียบง่ายและรวดเร็ว เป็นไปอย่างง่ายดาย อย่างคดีผู้บริโภคก็จะมีเจ้าพนักงานคดีคอยช่วยเหลือประชาชนในการยื่นฟ้องด้วย หรืออย่างคดีแรงงานก็เช่นกัน ผู้ใช้แรงงานที่มีข้อพิพาทกับนายจ้างเราก็มีนิติกรคอยช่วยเหลือ โดยนิติกรหรือเจ้าพนักงานคดีจะมีบทบาทในการช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีความรู้ทางกฎหมายและไม่มีเงินจ้างทนายความด้วย”

นอกจากนี้ การเสริมศักยภาพกระบวนการทางศาล ก็จะเน้นสร้างความเชี่ยวชาญผู้พิพากษาตามนโยบายข้อ 2 ของ “นายชีพ จุลมนต์” ประธานศาลฎีกา ในการจะพัฒนาศักยภาพข้าราชการฝ่ายตุลาการด้วยการส่งเสริมให้มีการศึกษา-ฝึกอบรมทั้งใน-ต่างประเทศด้วย เช่นการค้าระหว่างประเทศ เรื่องล้มละลาย เรื่องภาษี ก็เป็นกฎหมายระหว่างประเทศด้วยเป็นมาตรฐานสากล เพราะประเทศไทยไม่ได้ตัดสินคดีข้อพิพาทเฉพาะคนไทยด้วยกัน แต่บางครั้งมีคดีพิพาทที่ชาวต่างชาติมาลงทุนในไทยด้วย มาตรฐานของผู้พิพากษาที่ตัดสินก็ต้องมีความรู้ ซึ่งการฝึกอบรมเริ่มตั้งแต่เป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาจนถึงเป็นผู้พิพากษาอาวุโส รวมทั้งเวลามีกฎหมายใหม่ออกมา สำนักงานศาลฯก็จะจัดข้อมูล รวมทั้งการจัดประชุมสัมมนาเพื่อให้ผู้พิพากษาได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร

ขณะที่ในอนาคต จะนำเทคโนโลยีมาใช้บันทึกภาพและเสียงที่สามารถถ่ายทอดได้อย่างต่อเนื่องมาใช้กำกับดูแลการขอหมายค้น หมายจับกุม การชี้ตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย เพราะสภาพทางกายภาพของประเทศในบางพื้นที่ศาลอยู่ในที่ตั้งของจังหวัดหรืออำเภอที่อยู่ห่างไกล ซึ่งศาลไม่ได้มีตั้งอยู่ในทุกอำเภอ ดังนั้นกระบวนการตรงนี้ไม่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือตำรวจ หรือพนักงานสอบสวน หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่น เวลาจะขอออกหมายค้น หมายจับ อาจจะต้องเดินทางไกลเข้ามาที่ศาล

เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวถึงการเดินหน้าคุ้มครองสิทธิผู้มีฐานะยากจนกับระบบประเมินความเสี่ยงในการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยไปโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ยื่นสำหรับคดีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีว่า ระบบนี้เราเพิ่งเริ่มใช้ไป เมื่อเดือน มี.ค.60 ที่ผ่านมา ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการประเมินว่าได้ผลหรือไม่ เพราะเป็นแนวความคิดใหม่ที่จะใช้ฐานข้อมูลมา ประเมินว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนีหรือไม่ ไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือไปก่อเหตุร้ายหรือไม่ อย่างไรก็ดีการที่ไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราวก็ไม่ได้มีปัญหาจากสาเหตุว่าเขาไม่มีเงินเพียงอย่างเดียว แต่บางครั้งมีเงินร้อยล้าน พันล้านศาลก็ไม่สามารถปล่อยตัวได้เช่นกัน เช่น คดีค้ายาเสพติดที่จะเรียกเงินประกันเท่าใดก็มีเงินมาวางแต่ศาลจะไม่ปล่อยเพราะเชื่อว่าเขาจะหลบหนี ขณะที่ระบบปะเมินความเสี่ยงนั้นถ้าผู้ที่ได้ปล่อยตัวไปแล้วยังหลบหนี ศาลก็มี ก.ม.ใหม่ คือ พ.ร.บ.มาตรการกำกับและติดตามจับกุมผู้หลบหนีการปล่อยชั่วคราวโดยศาล พ.ศ.2560 ที่ผ่าน สนช. และคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) ออกระเบียบแล้ว ก็มีมาตรการให้ศาลแต่งตั้งผู้กำกับติดตาม ดูแลผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราวและมีเงินรางวัลจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้ด้วยเมื่อติดตามจับกุมผู้ที่หลบหนีได้ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเห็นชอบจากกระทรวงการคลังเกี่ยวกับวิธีการจ่าย และเม็ดเงินในการจ่ายด้วย ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปี 2560 นี้จะเรียบร้อย โดยปี 2561 ก.ม.นี้ก็จะเริ่มใช้ได้อย่างสมบูรณ์

ดังนั้นตรงนี้จะเป็นกลไกหรือเครื่องมืออันหนึ่งที่ศาลจะใช้ในการปล่อยชั่วคราวด้วย ศาลจะสบายใจมากขึ้นเมื่อมีระบบตัวช่วย เช่น กำไลข้อเท้าอิเล็กทรอนิกส์ EM (Electronic Monitoring) หรือมีผู้ช่วยเหลือในการติดตามแล้วมีรายงานว่ามีพฤติการณ์จะหลบหนีหรือไม่ ซึ่งต่างประเทศก็ใช้อย่างคดีนายราเกซ สักเสนา ตอนที่อยู่ประเทศแคนาดา ก็ใช้กลไกเหล่านี้แต่นายราเกซ เป็นคนจ่ายเองในการให้มีบริษัทเอกชนหรือเจ้าหน้าที่เอกชนมาควบคุมดูแลตรงนี้โดยของไทยก็มีกลไก ตาม พ.ร.บ.การติดตามฯ ตัวนี้บังคับใช้แล้วเหลือเพียงแค่รอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง

“กฎหมายวางระบบอยู่แล้ว เพื่อเปิดช่องทางให้ช่วยเหลือประชาชนผู้ด้อยโอกาส เพียงแต่ทำอย่างไรจะให้เกิดผลเป็นรูปธรรมให้ชัดเจน ก็เป็นหน้าที่ของสำนักงานศาลยุติธรรมในการผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนการปล่อยชั่วคราวหลักการใหญ่ ก็คือ ต้องการให้ได้ตัวมาเมื่อถึงวันนัดตัวก็ต้องมาขึ้นศาล แล้วศาลพิจารณาว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ไม่ใช่ว่าเราต้องการที่จะได้เงินจากผู้ต้องหาหรือจำเลย แต่เราต้องการที่จะได้ตัวคนมาขึ้นสู่การพิจารณาในวันนัดเป็นหลัก”

เมื่อถามว่า ถ้ามาตรการปล่อยชั่วคราวลักษณะนี้ใช้ได้แล้ว จะมีผลกับคดีนักการเมืองในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ “นายสาวุธ” กล่าวว่า ตอบยากเพราะขึ้นอยู่กับพฤติการณ์แต่ละคน อย่างเคสต่างประเทศกรณีนายราเกซ สักเสนา เขาก็กำหนดให้มีบริษัทเอกชนมากำกับดูแล ควบคุม แต่มีแล้วจะไม่หนีเลยก็คงไม่ใช่การการันตี 100 % เพราะเป็นการเพิ่มมาตรการความเข้มข้น ส่วนการติดตามตัวโดยจะให้มีเจ้าหน้าที่เฉพาะอย่างตำรวจศาล หรือ Court Marshal เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างจริงจังนั้น ตนก็เชื่อว่าในอนาคตสังคมเปลี่ยนไป ความเปลี่ยนแปลงก็คงมี เทียบในอดีตแยกศาลออกจากฝ่ายบริหารก็เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดว่ามีการเสนอแนวทางมาเป็นเวลานาน 20-30 ปีแล้วมาสำเร็จในปี 2543 ส่วนแนวคิดเรื่อง Court Marshal ก็มีมานานแล้ว 10-20 ปี เช่นกัน แต่วันนี้ก็อาจมีหลายปัจจัยเป็นส่วนเกื้อหนุนให้เห็นว่าถึงเวลาและมีความจำเป็นแล้วหรือยัง