'7 จนท.ยุติธรรม' ปัดเอี่ยวปั้นแพะช่วยครูจอมทรัพย์
สอบเครียด! '7 จนท.ยุติธรรม' กว่า 5 ชม. ปัดเอี่ยวปั้นแพะช่วยครูจอมทรัพย์
ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค4 คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีขบวนการรับจ้างรับผิดแทนนางจอมทรัพย์ ศรีบุญหอม หรือ แสนเมืองโคตร อดีตผู้ต้องโทษในคดีขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ทำการสอบปากคำเจ้าหน้าที่ในสังกัดของกระทรวงยุติธรรม จำนวน 7 คน จากทั้งหมด 14 คนที่มีรายชื่อตามหนังสือเชิญให้เข้ามาให้ปากคำกับคณะพนักงานสอบสวนฯ โดยมีพล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค4 ในฐานะหัวหน้าคณะพนักสอบสวน ควบคุมการสอบปากคำ
หลังจากคณะทำงานชุดคลี่คลายคดี ได้ส่งหนังสือขอความร่วมมือไปยังปลัดกระทรวงยุติธรรมในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงยุติธรรม ทั้ง 14 คน ได้เลื่อนขอเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนจากเดิม วันที่ 30 พ.ย.60 มาเป็นวันที่ 7 - 8 ธ.ค.นี้
โดยผู้ที่มีรายชื่อเข้าให้ปากคำกับคณะพนักงานสอบสวนในวันนี้ ประกอบด้วย นายนิธิต ภูริคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ หัวหน้าคณะทำงาน , พันตำรวจโทอภิมุข ศักดิ์ธนา พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ , พันตำรวจโทโพธิวัฒน์ ทิมอุดม พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ , พันตำรวจโทปุญธนัช เกตุเทศ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ , นายสิวะรัฐ พฤกษ์ไพบูลย์ เจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการ , นายพงศา ราตรี นิติกร ซึ่งเป็นทนายความในช่วงการรื้อฟื้นคดีครูจอมทรัพย์ และนายไอราวัณ เศวธครุฑหราฐิ์ นิติกร ซึ่งทั้งหมดพนักงานสอบสวนได้พาเข้าห้องสอบปากคำ เพื่อแยกสอบเป็นรายบุคคล ประเด็นสำคัญคือ คือการสอบถามถึงการทำหน้าที่และการปฏิบัติงานของแต่ละคนว่า นับตั้งแต่เข้าไปช่วยเหลือครูจอมทรัพย์ในการรื้อฟื้นคดีขับรถชนคนตาย แต่ละคนทำหน้าที่อะไรบ้าง การปฏิบัติงานทุกขั้นตอนชอบด้วยกฎหมายหรือระเบียบหรือไม่ และมีการรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบหรือไม่อย่างไร ซึ่งเบื้องต้น ตำรวจมีข้อมูลในทางสืบสวนอยู่แล้ว
พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค4 กล่าวว่า การสอบปากคำเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม แบ่งการสอบออกเป็น 2 ชุด ชุดละ 7 คน โดยชุดแรกที่เชิญมาให้ถ้อยคำในวันนี้ เป็นชุดที่ปลัดกระทรวงในช่วงเวลานั้น มีคำสั่งตั้งคณะทำงานชุดแรกนี้ขึ้น เมื่อปี 2557 หลังจากนางจอมทรัพย์ได้เข้ามาร้องขอความเป็นธรรมจากกระทรวงยุติธรรม เจ้าหน้าที่ 7 คนนี้ จึงเป็นชุดที่รับเรื่องร้องเรียนในการขอรื้อฟื้นคดีขับรถชนคนตายของนางจอมทรัพย์ตั้งแต่เริ่มแรก ทำหน้าที่ในการรวบรวมพยานหลักฐานขึ้นสู่ศาล รวมทั้งมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีผู้ร้อง นำพยานหลักฐานใหม่ คือ นายสับ วาปี ซึ่งรับสารภาพว่าเป็นคนขับรถชนคนตายตัวจริงมาแจ้งกับคณะทำงานของกระทรวงยุติธรรมชุดนี้ด้วย จากนั้นได้มีการไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันกับตำรวจ สภ.นาโดน และ สภ.เรณูนคร ซึ่งมีการสรุปรายงานการตรวจสอบว่า มีผู้กระทำความผิดซึ่งเป็นหลักฐานใหม่ที่สามารถนำไปประกอบการรื้อฟื้นคดีของครูจอมทรัพย์ได้ จึงสรุปรายงานและเสนอต่อหัวหน้าชุด ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา
จนกระทั่งเดือนธันวาคม 2559 ศาลอุทธรณ์ภาค4 มีคำสั่งรับให้รื้อฟื้นคดีนางจอมทรัพย์ แต่ชุดทำงานเดิมเกษียณไปแล้ว ต่อมาวันที่ 9 ม.ค.2560 คณะทำงานชุดของ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม จึงมารับช่วงต่อ หลังจากศาลรับรื้อฟื้นคดีครูจอมทรัพย์ ไปแล้ว 30 วัน ซึ่งเป็นชุดที่ 2 ที่จะเดินทางมาให้ปากคำในวันพรุ่งนี้ ประกอบด้วย นายชาติชาย โทสินธิติ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ หัวหน้าคณะทำงาน , พันตำรวจตรี สตพงษ์ เชื้อมหาวรรณ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ , นายบารมี จันทรพิสัย พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ , พันตำรวจโทวัชรัศมิ์ เฉลิมสุขสันต์ เจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการพิเศษ , พันโท ณพลพงศ์ กมลอาสน์ เจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการพิเศษ , นายธิตินัย พาติกบุตร เจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการพิเศษ และนายสุรศักดิ์ คำเวียง เจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการ ซึ่งชุดนี้จะมีการสอบปากคำที่ลึกและละเอียดมากกว่าชุดที่มาให้การในวันนี้
“การสอบปากคำเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมชุดแรกวันนี้ เบื้องต้นยังคงให้การว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างพยานเท็จ ชุดที่ 2 อีก 7 คนในวันพรุ่งนี้ พนักงานสอบสวนมีรายละเอียดที่จะต้องเจาะลึกในหลายประเด็น เพราะชุดที่ 2 มีการกระทำหลายส่วนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการ เช่น การนำตัวนายสับ วาปี ไปชี้ที่เกิดเหตุและดูสถานที่ต่างๆ รวมทั้งการนำพยานที่เกี่ยวข้องไปให้การต่อพนักงานสอบสวนและศาล รวมทั้งการนำรถยนต์กระบะ พร้อมแผ่นป้ายทะเบียน บค 56 สกลนคร ไปตรวจพิสูจน์ เพื่อนำมาใช้เป็นหลักฐานในช่วงการรื้อฟื้นคดีด้วย จึงต้องสอบในรายละเอียดมากกว่าชุดแรกที่มาวันนี้ ” พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ กล่าว
พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ กล่าวอีกว่า การเรียกเจ้าหน้าที่ของกระทรวงยุติธรรมทั้ง 7 คนมาสอบปากคำในวันนี้ และอีก 7 คนในวันพรุ่งนี้ เป็นการสอบปากคำในฐานะพยาน ซึ่งยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่ามีใครบ้างที่เข้าข่ายมีความผิด ซึ่งต้องรอจนกว่าผลการสอบปากคำจะแล้วเสร็จทั้งหมด ทั้งนี้ หากการสอบสวนเชื่อมโยงถึงใครและมีหลักฐานที่แน่ชัดว่าเจ้าหน้าที่คนใดรู้เห็นเป็นใจ ตำรวจก็จะแจ้งข้อกล่าวหาเป็นรายบุคคล ตามพฤติการณ์ในการกระทำความผิด