'คดีครูจอมทรัพย์' ภาค 2 ตร.ฉายเดี่ยว

'คดีครูจอมทรัพย์' ภาค 2 ตร.ฉายเดี่ยว

ตำรวจกำลัง รุกไล่ "ครูจอมทรัพย์" กับพวกอย่างหนัก ในคดีร่วมกันสร้างพยานหลักฐานเท็จในการรื้อฟื้นคดี บางคนอาจมองว่า ถึงคราวตำรวจกู้ศักดิ์ศรีคืน

“คดีครูจอมทรัพย์” นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร กำลังร้อนแรง แต่คราวนี้ไม่ใช่การร้องขอรื้อฟื้นคดีในคดีที่เธอถูกจำคุกในข้อหาประมาทขับรถชนคนตายอีกต่อไปเนื่องจากศาลฎีกาได้พิพากษายกคำร้อง คดีจบถึงที่สุดไปเรียบร้อยแล้ว

แต่เป็นคดีที่นางจอมทรัพย์กับพวก ถูกตำรวจดำเนินคดี กล่าวหาว่า สร้างพยานหลักฐานเท็จในการรื้อฟื้นคดี ซึ่งการทำคดีนี้ของพนักงานสอบสวน มีการตั้งคณะพนักงานสอบสวนถึง 7 ชุด มีการระดมพนักงานสอบสวนจากพื้นที่ จังหวัดสกลนคร นครพนม และมุกดาหาร เพื่อพิจารณาดำเนินการเอาผิดกับบุคคลเกี่ยวข้อง ในขบวนการรับจ้างทำผิดแทน

และจากการขยายผลคดีของพนักงานสอบสวน มีบุคคลจำนวนมากถูกเรียกมาสอบปากคำ บางคนก็ถูกแจ้งข้อหาตกเป็นผู้ต้องหา หนึ่งในนั้นมีนางจอมทรัพย์ รวมอยู่ด้วย โดยโดนไป 2 ข้อหา คือ ข้อหาร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาและข้อหาซ่องโจร ถูกนำตัวไปฝากขังศาลและควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำส่วนบางคนก็ถูกสอบในฐานะพยาน ภาพรวมรูปคดีในตอนนี้ออกมาทำนองว่า มีคนที่เกี่ยวข้องกับ“ขบวนการสร้างพยานหลักฐานเท็จ” มากมายหลายคนและมีความสลับซับซ้อน

ในเรื่องของ"คดีครูจอมทรัพย์" กับพวกถูกกล่าวหาว่า สร้างพยานหลักฐานเท็จในการรื้อฟื้นคดีนี้ ในด้านรูปคดีคงต้องรออีกสักระยะหนึ่ง เพราะตอนนี้กำลังฝุ่นตลบ คดีมีความเคลื่อนไหวและเดินหน้าตลอด เมื่อพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนคดีภาพจะชัดเจนมากยิ่งขึ้น ว่าคนที่ถูกดำเนินคดีทั้งหมดมีใครบ้าง แต่ละคนมีพฤติกรรมอย่างไร และมีใครบ้างที่ถูกกันเป็น“พยาน”ในชั้นศาล

แต่หากมองย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มแรก เมื่อครั้งที่ “ครูจอมทรัพย์ ” ไปร้องขอความช่วยเหลือกับกระทรวงยุติธรรม ให้ช่วยรื้อฟื้นคดีให้ศาลทำการพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ในคดีเธอถูกจำคุก ข้อหาประมาทขับรถชนคนตาย โดยอ้างว่า ตนเองเป็น “แพะ” เพราะไม่ได้เป็นคนขับรถชนคนตาย แต่ต้องถูกติดคุกฟรี ซึ่งในครั้งนั้นเมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป องค์กรที่ได้รับผลกระทบและถูกโจมตีอย่างมาก ก็คือ ตำรวจ ว่าจับคนผิดตัวได้อย่างไร และมีการนำ“คดีครูจอมทรัพย์” ยกระดับไปเปรียบเทียบกับ“คดีเชอร์รี่แอน ดันแคน” ต้นฉบับ “คดีแพะ” ในตำนาน และถึงขั้นมีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปองค์กรตำรวจจากกรณี“ ครูจอมทรัพย์” เลยทีเดียว

และตรงนี้เองทำให้มีบางคนตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อ “ตำรวจ” ถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกสับเละจากกรณี “ครูจอมทรัพย์” ขอรื้อฟื้นคดี จึงถือได้ว่า“ ตำรวจ” เป็น“คู่กรณี” กับ“ครูจอมทรัพย์” และมี“ส่วนได้เสีย” กับเรื่องนี้ จึงเป็นการสมควรหรือไม่ ที่จะให้“ ตำรวจ”เป็นผู้ทำคดีที่กล่าวหาว่า“ครูจอมทรัพย์”กับพวกสร้างพยานหลักฐานเท็จในการรื้อฟื้นคดี เพราะอาจเข้าทำนอง“เอาคืน” ได้ อีกทั้งตำรวจที่ทำคดี ก็เป็นตำรวจในพื้นที่ตามท้องเรื่องเดิม และมีการชงให้“ดีเอสไอ” เข้ามาทำคดีที่นางจอมทรัพย์กับพวก ถูกกล่าวหาว่าสร้างพยานหลักฐานเท็จ โดยอ้างว่าคดีมีความสลับซับซ้อนเข้าเงื่อนไขที่ดีเอสไอ จะรับไว้พิจารณาเป็น“คดีพิเศษ”ได้

แต่ก็มีผู้เห็นแย้งว่า “คดีครูจอมทรัพย์” ภาค 2 ซึ่งเป็นคดีที่กล่าวหาว่า“ครูจอมทรัพย์” กับพวกสร้างพยานหลักฐานเท็จในการรื้อฟื้นคดีนั้น " ตำรวจ" ทำคดีในรูป"คณะทำงาน" คดีจึงไม่ได้ขึ้นกับพนักงานสอบสวนคนใดคนหนึ่ง อีกทั้งมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ คอยคุมคดีอีกที จึงเชื่อถือได้ว่า คณะพนักงานสอบสวน จะทำคดีไปตามเนื้อผ้าและพยานหลักฐานอย่างตรงไปตรงมา

และมีการตั้งข้อสังเกตถึงกรณีที่มีการชงให้ “ ดีเอสไอ” เข้ามาทำคดีที่นางจอมทรัพย์กับพวกถูกกล่าวหาว่า สร้างพยานหลักฐานเท็จในการรื้อคดี ว่า เนื่องจากคดีนี้จะต้องมีการสอบสวนเจ้าหน้าที่ดีเอสไอว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ด้วย ดังนั้นถ้าให้“ดีเอสไอ” เข้ามาทำคดี จะถือว่าเข้าข่ายมี“ส่วนได้เสีย”หรือไม่

นอกจากนี้ยังมีผู้เสนอว่า น่าจะให้ “กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง”หรือ“กองปราบปราม” เข้ามาทำคดี น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดเพราะเป็นหน่วยงานส่วนกลาง อีกทั้งคดีสำคัญๆซึ่งอยู่ในความสนใจของประชาชน มักจะเห็น กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางหรือกองปราบปราม เข้ามาทำคดีแทนตำรวจท้องที่

ทั้งหมดนี้ ก็เป็นมุมมอง ความคิด ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน ก็ว่ากันไป เข้าทำนอง “นานาจิตตัง”

อีกอย่างหนึ่งต้องยอมรับความจริงที่ว่า ปัจจุบันอำนาจในการสอบสวนคดีอาญานั้น ตามกฎหมายก็มีแค่ตำรวจ ดีเอสไอ และฝ่ายปกครอง เท่านั้น ไม่ได้มีตัวเลือกมากกว่านี้ ดังนั้นจะให้องค์กรอื่นเข้ามาทำแทนไม่ได้เพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจไว้ เว้นเสียแต่ว่าไปออกกฎหมายใหม่ให้อำนาจกับองค์กรอื่นในการสอบสวนคดีอาญาได้บ้าง

แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้ในตอนท้าย ก็คือ ในเรื่อง“คดีครูจอมทรัพย์” เมื่อครั้งที่“ครูจอมทรัพย์ ” ออกมาเปิดตัวว่า เธอถูกจำคุกในข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิด เป็น “ แพะ” ร้องขอรื้อฟื้นคดี สังคมก็เฮไปตามกระแส มองเธอราวกับ“นางเอก”

แต่พอมาคราวนี้เธอ ถูกดำเนินคดีในข้อหา ร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ กระแสสังคมก็เฮ ตามอีกเช่นเคย จากที่เคยมองว่าเธอเป็น“นางเอก ” ก็กลับกลายเป็น“ผู้ร้าย” ทั้งที่คดียังไม่ได้รับการพิสูจน์และตัดสินในชั้นศาลว่าเธอ ได้ร่วมกับพวก สร้างพยานหลักฐานเท็จนำมารื้อฟื้นคดีหรือไม่

ดังนั้นจึงไม่ควรปักใจเชื่อว่า เธอเป็น“ แกะ” รอให้ศาลตัดสินคดีเสียก่อนจะดีกว่า