Daily Strategy (30 พ.ย.60)

Daily Strategy (30 พ.ย.60)

คาดตลาดหุ้นขึ้นรับข่าวดีด้านเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: ตลาดหุ้นต่างประเทศผันผวน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สับเปลี่ยนกลุ่มลงทุนจากกลุ่มเทคโนโลยี สู่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ราคาน้ำมัน ราคาถ่านหิน ทรงตัวระดับสูง และราคายางพาราปรับตัวเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุด ตาม Butadiene ทำให้ส่งผลบวกทั้ง IRPC, STA และ TRUBB ทางด้านเศรษฐกิจในประเทศ ลุ้น GDP ไตรมาส  4/60 เติบโต 4.7% เพื่อทำให้ GDP ทั้งปี  2560 โตได้ถึง 4.0% ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะได้ตามนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราทราบมาจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำว่า ธนาคารพาณิชย์ผ่อนคลายสินเชื่อให้ผู้กู้ซื้อบ้านมากขึ้น โดยรีวิวดอกเบี้ยเงินกู้ลงมาที่ต่ำกว่า 3.0% ในช่วงไตรมาส 4/60 นี้ เราคาดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ด้วย ส่วนภาคต่างประเทศ เศรษฐกิจของประเทศชั้นนำ เช่นสหรัฐฯ และจีน มีแนวโน้มจะเติบโตดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ซึ่งจะหนุนหุ้นส่งออกและหุ้นที่มีฐานผลิตในสหรัฐฯ เช่น IVL, TU และ EPG อย่างไรก็ตาม ดัชนีหรือราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาสูง ต้องระมัดแรงขายทำกำไรเป็นระยะ ๆ แต่หากปรับตัวลงมาลึก เป็นโอกาสเข้าซื้อ

 

หุ้นเด่นวันนี้: SC(ราคาปิด 3.84 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย AWS ที่ 5.00 บาท)

  • SC คาดเป็นดาวรุ่งอสังหาริมทรัพย์ที่มีการฟื้นตัวของกำไรดีขึ้นนับจากไตรมาส 3/60 เป็นต้นมา หลังกำไรทรุดตัวไป 4 ไตรมาสติดต่อกัน โดยคาดว่ายอดโอน รายได้ และกำไรสุทธิ จะเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 4/60 และต่อเนื่องไปในปี 2561 เราคาดการณ์กำไรไตรมาส 4/60 ที่ 956 ล้านบาท เพิ่มจาก 364 ล้านบาท ในไตรมาส 3/60 คาดกำไรสุทธิปี 2560 เท่ากับ 1,660 ล้านบาท (0.40 บาทต่อหุ้น) ลดลง 14%YoYและปี 2561 เท่ากับ 2,100 ล้านบาท (0.50 บาทต่อหุ้น) เพิ่มขึ้น 27%YoY
  • Price Pattern ของ SC ยังมีความแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะกลางจากการเกิดทั้ง Daily & Weekly Buy Signal และหากปิดตลาดรายเดือนในวันนี้ได้เหนือ 80 บาทเป็นอย่างน้อย จะกลับมามีแนวโน้มหลักเป็นขาขึ้น (Uptrend) อีกครั้ง โดยเกิด Monthly Buy Signal ครั้งใหม่ เป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 4.30 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 4.76 บาท ตามลำดับ มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 3.66 บาท (Resistance: 3.86, 3.88, 3.92; Support: 3.82, 3.80, 3.76)      

ปัจจัยในประเทศ:

  • เจ้าหน้าที่ สศค.คาด GDP ปีนี้อาจโตใกล้เคียง 4% เนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจสามารถเติบโตต่อเนื่องได้ในเดือน ต.ค. แม้จะติดช่วงไว้อาลัยก็ตาม อีกทั้ง ยังมีปัจจัยกระตุ้นในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีที่น่าจับตา ได้แก่ ภาคส่งออกและท่องเที่ยว (บางกอกโพสต์/ไทยโพสต์)
  • รัฐเตรียมชงมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ คาดจะเสนอมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวแก่ ครม. ในเดือน ธ.ค.นี้ โดยผู้เสียภาษีสามารถนำเงินค่าใช้จ่ายในที่พัก อาหาร และท่องเที่ยว จำนวนไม่เกิน 1.5 หมื่นบาทมาลดหย่อนภาษีสำหรับปีภาษี 61 ได้ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ชัดเจนคาดว่าจะมีการประกาศอีกครั้งหนึ่ง (ข่าวหุ้น) ความเห็น: เราคาดปัจจัยดังกล่าวอาจให้ sentiment บวกต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ERW CENTEL
  • อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 3% ในเดือนตุลาคม: จำนวนผู้ว่างงานในปี 2560 เพิ่มขึ้น 1.3% YoYเพิ่มขึ้นเป็น 481,000 รายในเดือนตุลาคม โดยตัวเลขการว่างงานในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 31,000 ราย YoY และ 38,000 QoQ (The Nation)
  • สมคิดดึงงบ อปท. กระตุ้นเศรษฐกิจ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี คาดใช้เวลาอีก 4 เดือน ดึงงบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รอบแรก 5 หมื่นล้านบาท จากงบประมาณ 2 แสนล้านบาท เพื่อใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งสนับสนุนการท่องเที่ยวและพัฒนาชุมชน (ที่มา : ผู้จัดการรายวัน 360องศา) ความเห็น: ส่งผลบวกต่อกลุ่มพาณิชย์และกลุ่ม Domestic Plays อื่นๆ
  • AOT รายงานกำไรสุทธอ FY60 เท่ากับ 20,684 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 7% YoYต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 22,000 ล้านบาท คำแนะนำถือราคาเป้าหมาย 59 บาท

 

ตลาดต่างประเทศ:

  • ตลาดหุ้นสหรัฐปิดไร้ทิศทาง:โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก ขณะที่ดัชนี Nasdaqปิดร่วงลงวันเดียวมากที่สุดในรอบกว่า 3 เดือน เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร รวมถึงหุ้นกลุ่มอื่นที่อาจได้ประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น กฏระเบียบและภาษีที่ลดลง รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงต่อสภาคองเกรสว่า เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งขึ้นในปีนี้ และจะสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่งขึ้น
  • ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไตรมาส 3/60 ดีเกินคาด: กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3 ที่ระดับ 3.3% สูงกว่าตัวเลขตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระดับ 3.0% และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.2%
  • ตลาดหุ้นยุโรปซ ปิดบวก (29 พ.ย.) โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ว่าที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ส่งสัญญาณผ่อนคลายกฎระเบียบในตลาดการเงิน
  • ตลาดุหุ้นลอนดอนซ ปิดร่วง (29 พ.ย.) โดยได้รับปัจจัยกดดันจากเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้น หลังจากมีรายงานว่าอังกฤษและสหภาพยุโรป (EU) ได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับวงเงินที่อังกฤษต้องจ่ายให้แก่ EU ก่อนที่จะแยกตัวอย่างเป็นทางการ (Brexit)

 

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • ราคายางพารา:ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น คาดว่าเป็นไปตามราคา Butadiene (วัตถุดิบยางสังเคราะห์) ที่ดีดตัวแรงมาตั้งแต่เดือน ต.ค.เป็นผลบวกต่อ IRPC ซึ่งมีผลิตภัณฑ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายได้ นอกจากนี้ ราคายางพาราซึ่งปรับตัวขึ้นจากระดับ Bottom เมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมาจาก 75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ กก.มาที่ 1.87 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ กก.ช่วงวันนี้ เป็นปัจจัยบวกหนุน STA, TRUBB
  • ราคาทองคำ:ปิดร่วง (29 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นทำนิวไฮ ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3 ที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 3 ปี ส่วนปัจจัยเรื่องการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ไม่มีผลกับตลาดหุ้นและตลาดทองคำแต่อย่างใด
  • ราคาน้ำมันดิบ:ปิดร่วง (29 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจว่ารัสเซียจะให้การสนับสนุนการขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันจนถึงสิ้นปีหน้าหรือไม่ ในการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่มโอเปก ซึ่งจะมีขึ้นในวันนี้ที่กรุงเวียนนา
  • ค่าระวางเรือเทกอง:ปิดบวกต่อมาที่ 1,536 จุด บวก 30 จุด หรือ +1.99% หนุน Sentiment บวกต่อ PSL, TTA