ยุทธการ'อินทรีทมิฬ'ลุยค้น33จุด รวบต่างชาติซุกไทย

ยุทธการ'อินทรีทมิฬ'ลุยค้น33จุด รวบต่างชาติซุกไทย

ยุทธการ "อินทรีทมิฬ" ลุยค้นพื้นที่เป้าหมาย 33 จุดทั่วกรุงฯ รวบต่างด้าวผิวสี 9 ราย ฐานอยู่ในราชอาณาจักรเกินกฎหมายกำหนด

เมื่อเวลา 16.45 น. วันที่ 7 พ.ย.60 ที่กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สนามศุภชลาศัย ถนนพระรามที่ 1 พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.รอง ผบช.ทท. พร้อมด้วย พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รอง ผบก.ทท., พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบก.ทท , พ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบก.สปพ. และพ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบก.อก.บช.ปส. ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการตามยุทธการอินทรีทมิฬ หรือแบล็คอีเกิ้ล ทลายเครือข่ายอาชญากรรมที่เกี่ยวกับชาวต่างชาติ และการท่องเที่ยว หลังระดมกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยอรินทราช 26 , หน่วยสยบไพรี บช.ปส. , ตร.สน.สายไหม , ตร.สน.วังทองหลาง และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ออกปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 11 เป้าหมาย 33 จุด ในพื้นที่ย่านสี่พระยา ลาดพร้าว รามคำแหง สายไหม

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สำหรับปฏิบัติการแบล็คอีเกิ้ล ครั้งที่ 10 ได้ออกระดมกวาดล้างอาชญากรรม และบูรณาการกำลังจากหน่วยงานภาครัฐหลายฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยในวันนี้ได้ร่วมกันปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในกรุงเทพมหานคร จำนวน 11 เป้าหมาย 33 จุด พร้อมกับจับกุมผู้ต้องหาได้ 9 ราย แบ่งเป็นความผิดฐานเป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต 6 ราย แยกเป็นชาวกินี 1 ราย , แกมเบีย 1 ราย , แทนซาเนีย 1 ราย , โซมาเลีย 3 ราย นอกจากนี้ยังสามารถจับกุมชาวแคมมารูน 1 ราย ไนจีเรีย 2 ราย ในฐานความผิดเป็นบุคคลต่างด้าว เดินทางเข้ามา และอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด อีกทั้งได้เชิญตัวมาทำประวัติ 9 ราย

ทั้งนี้ การเข้าตรวจค้นตลอด 10 ครั้งที่ผ่านมา ภายใต้ปฏิบัติการยุทธการอินทรีทมิฬ ได้เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายทั้งสิ้น 154 จุด โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 96 ราย ทำประวัติ 183 ราย ประกอบด้วยในกรุงเทพมหานคร 6 ครั้ง รวม 129 จุด จับกุมทั้งสิ้น 77 ราย ทำประวัติ 183 ราย ตรวจค้นในพื้นต่างจังหวัด อาทิ เมืองพัทยา สมุย ภูเก็ต และเชียงใหม่ 4 ครั้ง รวม 25 จุด จับกุมทั้งสิน 19 ราย

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า จากการตรวจค้นสามารถจับกุมผู้ต้องหาในฐานความผิดเป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นบุคคลต่างด้าว เดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด หรือโอเวอร์สเตย์ อย่างไรก็ตาม ชาวต่างชาติส่วนใหญ่เข้ามาโดยไม่ได้ประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่ง ซึ่งเบื้องต้นได้มีการพิมพ์ลายนิ้วมือ และเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ.ของชาวต่างชาติทั้งหมด เพื่อทำเป็นฐานข้อมูลประวัติเก็บไว้ พร้อมขึ้นบัญชีแบล็คลิสต์ผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ก่อนผลักดันออกจากประเทศต่อไป

อย่างไรก็ตาม ผลการปฏิบัติงานตลอด 10 ครั้งที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กวาดล้างชาวต่างชาติ ที่เข้ามากระทำเหตุในลักษณะดังกล่าวไปแล้วเกือบ 500 คน ซึ่งรายงานจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพบว่า ปัจจุบันมียอดนักท่องเที่ยวอยู่เกินอนุญาต หรือ overstay ประมาณ 200,000 คน แบ่งเป็น แรงงานสามสัญชาติ 120,000 คน สัญชาติอื่นๆ 80,000 คน

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของเจ้าของบ้าน หรือผู้ครอบครองเคหสถานที่ให้ที่พักพิงกับบุคคลเหล่านี้ แล้วไม่ได้ดำเนินการตามมาตรา 38 ตาม พรบ.คนเข้าเมือง 2522 จะถูกดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยมีโทษปรับไม่เกิน 2000 บาท แต่ถ้าผู้นั้นเป็นผู้จัดการโรงแรมต้องระวังโทษตั้งแต่ 2,000-10,000 บาท อย่างไรก็ตาม ได้ประชาสัมพันธ์ไปถึงเจ้าของอาคารสถานที่ ผู้ประกอบการโรงแรม ห้องให้เช่า ให้ดำเนินการอย่างถูกต้องในการแจ้งที่พักพิงแก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาพักภายใน 24 ชั่วโมง รวมทั้งให้สอดส่องดูแลนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพัก หากพบความผิดปกติสามารถแจ้งได้ที่สายด่วนตำรวจท่องเที่ยว 1155 ตลอด 24 ชั่วโมง