'ไฮยิลด์บอนด์' ลดความเสี่ยงดอกเบี้ยขาขึ้น 

'ไฮยิลด์บอนด์' ลดความเสี่ยงดอกเบี้ยขาขึ้น 

กองทุน “ไฮยิลด์บอนด์” ลดความเสี่ยงดอกเบี้ยขาขึ้น 

เศรษฐกิจโลกปีนี้ถือว่าขยายตัวได้ดีกว่าคาดโดยล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปีนี้เป็น 3.6% ซึ่งถือว่าเศรษฐกิจทั่วโลกปรับตัวดีขึ้นแบบทั่วถึงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2551 และคาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะดีกว่าปีนี้หรือเติบโต 3.7%

โดยเฉพาะสหรัฐฯที่มีสัญญาณฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน อัตราเงินเฟ้อในประเทศเร่งตัวขึ้น อัตราการว่างงานลดลง เป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ไปแล้วถึง 2 ครั้ง และตลาดคาดการณ์กันว่าน่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมนัดสุดท้ายของปีที่จะเกิดขึ้นในเดือนธ.ค.นี้ ภายใต้การนำของประธานเฟดคนปัจจุบัน “เจเน็ต เยลเลน” ที่กำลังจะครบภาวะการดำรงตำแหน่งในเดือนก.พ.ปีหน้า และส่งไม้ต่อให้กับ “เจอโรม พาวเวล” ซึ่งคงจะเข้ามาสานต่อนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป

แม้ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะค่อยเป็นค่อยไป แต่หลายฝ่ายก็ฟันธงแล้วว่าดอกเบี้ยของสหรัฐฯ กำลังกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง โดยนายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับกรุงเทพธุรกิจ ว่าเฟดน่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าอีกประมาณ 3 ครั้ง และหากรัฐสภาของสหรัฐฯผ่านแผนปฎิรูปภาษี มีการปรับลดภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนก็จะยิ่งทำให้เม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกไหลกลับไปที่สหรัฐฯ

ดังนั้นการลงทุนในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นแบบนี้ควรลงทุนในกองทุนที่เป็นตราสารหนี้ระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูง หรือ High Yield Bond เพื่อลดความเสี่ยจากอัตราผลตอบแทนที่เกิดจากการนำดอกเบี้ยไปลงทุนต่อ หรือ Reinvest Risk ในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น และควรเป็นกองทุนที่มีการลงทุนไปทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงตลาดเกิดใหม่ ไม่ได้กระจุกตัวที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงสามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตามสถานการณ์

นอกจากนี้ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือที่ลงทุนได้ หรือ Investment Grade และยังลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้จากการถือครองอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ระยะสั้น

ตอนนี้สหรัฐฯยังไม่สามารถเอานโยบายผ่านสภาฯได้เหมือนอย่างที่หาเสียงไว้ เงินก็เลยยังไหลเข้าตลาดเกิดใหม่อยู่ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ทำนิวไฮกันไป แต่ถ้าเมื่อไหร่นโยบายลดหย่อนภาษีผ่านเงินก็จะไหลกลับสหรัฐฯ หุ้นก็จะเริ่มตก ดอกเบี้ยเริ่มขึ้นซึ่งตลาดก็คาดการณ์กันไว้อยู่แล้วว่าจะเกิดขึ้น ดังนั้นตอบนี้จึงเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุนในกองไฮยิลด์บอนด์ระยะสั้น”

ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยเขามองว่า ยังน่าสนใจโดยได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและกลับมาขยายตัวต่อเนื่อง คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตราว 3.5-3.7% ขณะที่การส่งออกมีโอกาสเติบโตได้มากกว่า 10% และการท่องเที่ยวยังเป็นอีกหนึ่งกลไลสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หลังปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 36 ล้านคน หรือมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเฉลี่ยเดือนละ 3 ล้านคน และคาดว่าปี 2561 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มเป็น 40 ล้านคน

นอกจากนี้สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศก็มีเสถียรภาพมากขึ้น หลังนายกรัฐมนตรีประกาศว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งในช่วงปลายปีหน้า ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามต่อเนื่องก็คือการเบิกจ่ายและการลงทุนของภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ว่าจะทำได้ตามแผนและมีออกมามากน้อยแค่ไหน ซึ่งแน่นอนหากภาครัฐมีการลงทุนภาคเอกชนก็พร้อมที่จะควักกระเป๋าลงทุนตามมาเช่นกัน

ทั้งนี้ประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2561 ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ ไปแตะระดับ 1,800 จุด จากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่คาดจะเติบโต 5-10% เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่ขยายตัวราว 5% หรือมีกำไรประมาณ 9 แสนล้านบาท จากปี 2559 ที่ 8.7 แสนล้านบาท โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ หุ้นกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบในโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทำระดับสูงสุดใหม่ในรอบ 2 ปี, หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและพลังงานทดแทนซึ่งเป็นหุ้นปันผลสูง, หุ้นกลุ่มค้าปลีกที่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่มากขึ้น สะท้อนได้จากยอดขายของหลายบริษัทที่เริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้ง รวมถึงหุ้นกลุ่มธนาคารที่ราคาหุ้นยังค่อนข้าง Laggrad หลังปีนี้มีความกังวลเรื่องของหนี้เสียและการตั้งสำรองที่สูง แต่ในระยะยาวมองว่าสินเชื่อยังมีโอกาสขยายตัวได้ดี

หุ้นไทยปีหน้ามองว่ายังไปต่อ ปัจจัยพื้นฐานในประเทศค่อนข้างดี เรื่องการเมืองก็มีเสถียรภาพมากขึ้นจะมีเลือกตั้งปลายปีหน้า แต่สิ่งที่ต้องรอดูก็คือการเบิกจ่ายของภาครัฐ ถ้ามีออกมาเอกชนก็พร้อมที่จะลงทุน ดัชนีคงไปที่ 1,800 จุด ได้ไม่ยาก พีอีเฉลี่ยที่ 15-16 เท่า ถ้ากำไรบริษัทจดทะเบียนปีหน้าโตได้ถึง 10%”

ทั้งนี้เขาทิ้งทายว่า ในช่วงปลายปีแบบนี้อยากให้นักลงทุนซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF เพราะสามารถนำไปลดหย่อยภาษีได้และยังเป็นการสร้างระเบียบวินัยในการลงทุนอีกด้ว