ธุรกิจการบินคึกคัก 'ไอซีเอโอ'ปลดธงแดง

ธุรกิจการบินคึกคัก 'ไอซีเอโอ'ปลดธงแดง

“อุตสาหกรรมการบิน”เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ประกาศปลดธงแดงให้ไทยในวันที่ 6 ต.ค. 2560

ช่วง 2 ปี 4 เดือน ที่มีปัญหาธงแดง อาจเรียกได้ว่าอุตสาหกรรมการบินของไทยถูกแช่แข็ง เพราะหลายประเทศไม่เชื่อมั่นในมาตรฐานความปลอดภัย จึงไม่ยอมให้ “สายการบินสัญชาติไทย”เปลี่ยนประเภทเครื่อง เพิ่มจุดบิน หรือเพิ่มความถี่

เมื่อขจัดอุปสรรคไปได้แล้ว ธุรกิจสายการบินจึงเดินหน้าลุยเส้นทางต่างประเทศอย่างเต็มตัว 

เริ่มจาก“สายการบินไทย” ที่เล็งเห็นโอกาสในการขยายตลาดญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่มีกำไรดี โดยจะปรับแผนรุก ตลาดทั้ง 2 แห่งให้เร็วขึ้นจากปี 2562 เป็นปี 2561

เบื้องตั้งมีเป้าหมายจะเพิ่มความถี่จุดบินปูซาน เกาหลีใต้เป็น 7 เที่ยวต่อสัปดาห์และเส้นทางกรุงโซล อยู่ระหว่างหารือเพื่อเพิ่มตารางบินอีก 1 เที่ยว เป็น 7 เที่ยวต่อสัปดาห์ โดยจะนำเครื่องบินแอร์บัสเอ 380-800 จำนวน 507 ที่นั่ง ซึ่งเป็นเครื่องบินขนาดใหญ่สุดของการบินไทยมาให้บริการส่วนท่าอากาศยานฮะเนะดะ กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น ตั้งเป้าจะเปิดให้บริการ 3 เที่ยวต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 2 เที่ยวต่อวัน

นัตดา บุรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ กล่าวว่า หลังจากไทยสามารถปลดธงแดงด้านความปลอดภัยจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศแล้ว เชื่อว่าปีหน้าธุรกิจการบินจะแข่งขันกันมากกว่าเดิม ซึ่งที่ผ่านมา กระบวนการปลดธงแดงที่ส่งผลให้สายการบินต้องดำเนินการขอรับใบรับรองผู้ดำเนินอากาศใหม่ (Re-Aoc) นั้น เป็นผลดีทำให้ทุกสายเตรียมความพร้อมรับการขยายล่วงหน้า

สำหรับไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เริ่มการขยายเฟสแรกด้วยการเพิ่มความถี่เส้นทางเดิมที่มีอยู่ก่อน ได้แก่ เดือน พ.ย. เพิ่มเส้นทางสู่ กรุงโซล เกาหลีใต้ จาก 2 เป็น 3 เที่ยวบินต่อวัน และเดือน ธ.ค.เพิ่ม โอซาก้า ญี่ปุ่น จาก 1 เป็น 2 เที่ยวบินต่อวัน เฟสต่อไปในปี 2561 หากสำนักงานการบินของประเทศในฝั่งเอเชียเหนืออย่าง ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ได้รับการประสานจากไทย และทำการอนุญาตได้เมื่อใด ก็พร้อมจะเข้าไปเปิดเส้นทางบินใหม่เพิ่มใน 2 ประเทศนั้นทันที คาดว่าจะเริ่มต้นได้ในช่วงปลายไตรมาส 1 เป็นต้นไป

หนึ่งในเป้าหมายเส้นทางหลัก คือ ซัปโปโร ซึ่งเคยให้บริการอยู่แล้ว และมีผลตอบรับที่สูงมากก่อนเข้าสู่ช่วงธงแดง ซึ่งประสบการณ์จากการเข้าไปทำตลาดแล้ว จึงได้เปรียบเรื่องการรู้จักลู่ทางธุรกิจในเส้นทางนี้เป็นอย่างดี

นอกจากนั้น ยังสนใจการขยายเส้นทางในจีน ซึ่งแม้จะมีสายการบินจากไทยเข้าไปจำนวนมาก แต่เป็นตลาดใหญ่ จึงเป็นโอกาสของทุกสายการบิน โดยไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ มองเส้นทางระยะไกลที่มีข้อได้เปรียบเรื่องการใช้เครื่องบินที่ไปถึง อาทิ ปักกิ่ง มหานครใหญ่, ต้าเหลียน หรือฮาร์บิน เป็นต้น

ทั้งนี้ เพื่อเตรียมพร้อมรับการขยายธุรกิจ มีแผนนำเครื่องบินแอร์บัส เอ330 เข้ามาประจำการเพิ่มอีก 4-5 ลำ จากปัจจุบันมีทั้งหมด 6 ลำ หรือเพิ่มเกือบ“เท่าตัว”จากที่มีอยู่ นอกจากจะใช้เพิ่มความถี่เส้นทางเดิมแล้ว คาดว่าจะต้องมีเส้นทางใหม่เพิ่มไม่ต่ำกว่า 3-4 เส้นทาง ส่งผลให้รายได้เติบโตจากปีนี้กว่า 60-70% เพราะมีที่นั่งเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ขณะที่ปีนี้ไม่ได้รับมอบเครื่องใหม่ แต่ยังอาศัยการเติบโตจากเส้นทางเดิมที่มีอยู่ คาดรายได้เพิ่มขึ้นราว 15%

นอกจากนั้น เมื่อขยายเส้นทางในเอเชียเหนือครอบคลุมแล้ว จะเริ่มมองไปที่ยุโรปเพิ่มเติม

“การแข่งขันของธุรกิจการบินในไทยน่าจะสูงขึ้น และผู้บริโภคได้เปรียบจากการมีตัวเลือกมาก หากแอร์ไลน์ไหน มีเส้นทาง และความถี่ให้เลือกหลากหลายกว่า มีโอกาสทำตลาดได้มากกว่าเช่นกัน”

ทางด้าน อัศวิน ยังกีรติวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ กล่าวว่าเตรียมการณ์ล่วงหน้าก่อนที่ไทยจะได้รับการปลดธงแดง  โดยสั่งเครื่องบินสำหรับเส้นทางระยะไกล ได้แก่ แอร์บัส เอ330-300 ขนาด 392 ที่นั่ง เข้ามาเตรียมไว้ 3 ลำในปลายปีนี้ โดยมอง 3 เส้นทางที่จะใช้ให้บริการ คือ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และอินเดีย รวมถึงอาจจะสลับไปใช้กับเส้นทางที่มีอยู่แล้วคือ ไทเป ซึ่งบินด้วยเครื่องแบบทางเดินเดี่ยว โบอิ้ง 737-800

ทั้งนี้ การบินเข้าญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ วางจุดหมายในเมืองที่นักท่องเที่ยวไทยนิยมก่อน เช่น โตเกียว, ฟุกุโอกะ, กรุงโซล แต่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการวางแผนดำเนินการ และเตรียมขออนุญาต คาดว่ากว่าจะให้บริการได้ก็อาจต้องรอช่วงกลางปีหน้าเป็นต้นไป

ขณะที่ ยอดชาย สุทธิธนกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินนกสกู๊ต กล่าวว่าการถอดรายชื่อประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงต่อภัยด้านการบินถือเป็นนิมิตหมายอันดีของอุตสาหกรรมการบิน รวมถึงการท่องเที่ยวของประเทศไทย เพราะช่วยความเชื่อถือของหน่วยงานด้านการบินของไทย และสร้างความเชื่อมั่นต่อนักท่องเที่ยวในการเลือกใช้สายการบินสัญชาติไทย ส่งให้มีอัตราการเติบโตของตลาดต่างชาติต่อเนื่อง

สำหรับนกสกู๊ต จะรับมองเครื่องบินเพิ่มต้นในช่วงไตรมาสแรก ปี2561 และเร่งเปิดเส้นทางใหม่ไปยังประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากการขยายเส้นทางบินใหม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด  คาดมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น การเติบโตดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมเศษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศไทย ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ด้วย

ด้าน เหวียน ถิ ถวิ บิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยเวียตเจ็ท กล่าวว่า การปลดล็อกธงแดงของไทยจะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมการบินทั้งหมดในแง่ที่จะได้ทบทวนและยกระดับคุณภาพรวมถึงความปลอดภัย ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับโลก ขณะที่สายการบินเองถือโอกาสปรับปรุงมาตรฐานให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กำหนดขึ้นมา โดยในส่วนของไทยเวียตเจ็ท ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบเพื่อขอ Re-Aoc ทุกขั้นตอนแล้ว และจะมีการสรุปผลการประชุมการออกใบรับรองในวันที่ 8 พ.ย.นี้

หลังจากที่ได้รับ AOC ใหม่แล้ว ไทยเวียตเจ็ท จะขยายเส้นทางต่างประเทศ โดยยึดหลักให้บริการตัวเลือกจุดหมายที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียน เช่น สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่สำคัญคือการวางเครือข่ายไปยังเวียดนาม ประเทศแม่ของธุรกิจให้ครอบคลุมทั้งประเทศ