บูม‘ปีท่องเที่ยววิถีไทย’ดึงเอเยนต์ทั่วโลกสำรวจเส้นทาง
อุตสาหกรรมท่องเที่ยว “โอกาส” และ “ขุมทอง” ของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยกำหนดให้ปี 2561 เป็น “ปีแห่งการท่องเที่ยววิถีไทย” ที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือน พ.ย.นี้เป็นต้นไป
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในฐานะเจ้าภาพหลัก เตรียมเทียบเชิญ “เอเยนต์ทัวร์-สื่อทั่วโลก” กว่า 300 คน ร่วมสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวไทย พร้อมเปิดเจรจาจับคู่ธุรกิจ
ศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. กล่าวว่า เตรียมจัดงานในรูปแบบเมกะแฟมทริป โดยจะมีเอเยนต์ทัวร์และสื่อมวลชนจากทุกตลาดทั่วโลกกว่า 300 คน เข้าร่วม โดย ททท.จะนำเสนอแนวคิดส่งเสริมการตลาดใหม่ภายใต้ชื่อ Open to the New Shades of Thailand มุ่งนำเสนอ “ประสบการณ์ท่องเที่ยวท้องถิ่น” ที่เป็นเอกลักษณ์พร้อมกระจายรายได้สู่ชุมชน ซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มทุกระดับ
“เมกะแฟมทริปครั้งนี้ วางแผนนำเอเยนต์จากภูมิภาคต่างๆ แบ่งเดินสายสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ของแต่ละจังหวัดที่ตรงกับความสนใจ ระหว่างการเดินทางจะจัดกิจกรรมพบปะเจรจาธุรกิจ(Trade Meet) เปิดโอกาสให้อัพเดทผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวกับผู้ประกอบการไทยโดยตรง”
ในปี 2561 ยังเตรียมสานต่อโครงการ “เดอะลิงค์” ซึ่งเป็นการจับคู่ตลาดให้จังหวัดท่องเที่ยวของไทยกับเมืองที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง เป็นโครงการต่อเนื่องจากปี 2560
ปีต่อไปวางแนวคิดเจาะลึกด้านอาหาร G Link (Gastronomy Link) โดยเฉพาะ เพื่อให้สอดคล้องกับการที่ไทยกำลังจะเปิดตัว “มิชลินไกด์บุ็ค” ในช่วงปลายปีนี้ ต่อด้วยการเป็นเจ้าภาพการประชุมนานาชาติ UNWTO World Forum on Gastronomy Tourism เป็นการประชุมนานาชาติด้านอาหารขององค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ
“วางโครงการ G Link ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับการท่องเที่ยวท้องถิ่น ยอมรับว่าเป็นการทำงานระยะยาวต้องใช้เวลา 3-5 ปีกว่าจะติดตลาด"
โดยหลักการจับคู่ระหว่างเมืองต่างๆ เช่นนิวยอร์ก-ตราด, ลอสแองเจลิส-ชุมพร,ระนอง จะไม่ได้เน้นเฉพาะเรื่องการทำตลาดเท่านั้น แต่จะให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือให้ชุมชนของไทยรู้จักวางแนวทางการพัฒนาสินค้าของตัวเองที่เหมาะสมขึ้นมา
ดังนั้นบางคู่ที่คัดเลือกมาอาจยังไม่สอดคล้องในช่วงแรก แต่ระยะยาวจะช่วยด้านการพัฒนาวางรากฐานให้ชุมชนและสร้างการประชาสัมพันธ์ในต่างประเทศ
ด้าน ภัทรพร สิทธิวณิช ผู้อำนวยการภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง ททท.กล่าวว่า เอเยนต์และสื่อจากตลาดยุโรปและอเมริกาที่จะเข้าร่วมเมกะแฟมทริปครั้งนี้กว่า 100 คน จะมีกิจกรรมเจรจาธุรกิจทั้งในกรุงเทพฯ และกระบี่ พร้อมกับจัดสำรวจเส้นทางเพื่ออัพเดทข้อมูลผลิตภัณฑ์ด้านท่องเที่ยวใหม่ในพื้นที่ดังกล่าวและเดินทางต่อไปยังจังหวัดใกล้เคียงด้วย
โดยตลาดยุโรปและอเมริกาส่วนใหญ่จะรู้จักการท่องเที่ยวไทยในแหล่งเดิมดีอยู่แล้วจึงจำเป็นต้องนำเสนอสิ่งใหม่ๆ เพื่อให้เกิดการเดินทางซ้ำเข้ามาต่อเนื่อง
ขณะที่ รัญจวน ทองรุต ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก ททท.กล่าวว่า เตรียมนำเอเยนต์จากจีนราว 50 รายลงสำรวจพื้นที่เกาะช้าง จ.ตราด โดยทำกิจกรรมพร้อมกัน 2 รูปแบบ คือ จัดการเจรจาธุรกิจระหว่างเอเยนต์จีนและผู้ประกอบการไทยและการนำผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดจากจีนมาจัดอบรมผู้ประกอบการไทยให้รับทราบข้อมูลและพฤติกรรมตลาดเชิงลึก (Market Insight) เกี่ยวกับตลาดจีน
“แนวโน้มความนิยมของเกาะช้างเติบโตก้าวกระโดดหลังจากที่มีรายการด้านการทำอาหารมาถ่ายทำ ทำให้ชาวจีนนิยมเดินทางตามรอยเข้ามามากขึ้น”
สอดรับแนวทางของ ททท.ต้องการให้ผู้ประกอบการปรับตัวรับการทำตลาดคุณภาพ หรือเจาะกลุ่มกำลังซื้อระดับสูงจากจีนมากขึ้น
ขณะที่ตลาดญี่ปุ่นซึ่งปีนี้ตั้งเป้าไว้สูงถึง 1.5 ล้านคน จะนำเอเยนต์ที่เดินทางมาครั้งนี้ร่วมเจรจาธุรกิจที่กระบี่ เพื่อกระจายตลาดสู่แหล่งท่องเที่ยวชายทะเลอื่นๆ นอกเหนือจากภูเก็ต ที่ได้รับความนิยมมายาวนานอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญสำหรับตลาดญี่ปุ่น คือ การขาดเที่ยวบินตรงจากต้นทางเข้าสู่เมืองรอง ที่กำลังได้รับความสนใจเช่นกระบี่ หรือ เชียงราย ทางภาคเหนือ ซึ่งตลาดญี่ปุ่นที่เป็นกลุ่มเดินทางซ้ำเป็นส่วนใหญ่ ต้องการแสวงหาจุดหมายใหม่และสะดวกต่อการเดินทางมากขึ้น แต่ปัจจุบันยังต้องมาต่อเครื่องบินที่เมืองหลัก เช่น กรุงเทพฯ เท่านั้น