200ตร.พรึ่บค้นกรุง10จุด กวาดล้างอาชญากรรม-รวบ52ชาวต่างชาติ

200ตร.พรึ่บค้นกรุง10จุด กวาดล้างอาชญากรรม-รวบ52ชาวต่างชาติ

"บิ๊กโจ๊ก" สั่งระดมกำลัง 200ตร.พรึ่บค้นกรุง10จุด กวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ รวบ52ชาวต่างชาติ

ลานจอดรถโรงแรมนานา ซอยสุขุมวิท 4 แขวงและเขตคลองเตย กทม. เมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 16 ตุลาคม 2560 พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.รอง ผบช.ทท. นำกำลังเจ้าหน้าที่ บก.ทท. บก.สปพ. (191) บช.ปส. และ สตม. พร้อมทั้งสายตรวจและฝ่ายสืบสวน สน.ลุมพินี กว่า 200 นาย ระดมกวาดล้างกลุ่มผู้มีอิทธิพล ที่เป็นอาชญากรรมข้ามชาติ อาทิเครือข่ายปลอมธนบัตร เครือข่ายหลอกลวงแต่งงาน เครือข่ายผลิต และปลอมบัตรเครดิต เครือขายที่นำเพชรปลอมมาขาย และอาชญากรรมในรูปแบบอื่นๆ

พล.ต.ต. สุรเชษฐ์ เผยว่า จากกการเข้าค้นเป้าหมาย มากกว่า 10 จุดทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑลได้ผู้ต้องหาผิวสี ชาวไนจีเรีย แทนซาเนีย และอุซเบกิสถาน กว่า 52 ราย แยกเป็นชาวต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต 2 ราย โอเวอร์สเตย์หรืออยู่เกินกว่าวีซ่ากำหนด 11 ราย อีกทั้งยังจับกุมผู้ที่รับคนต่างด้าวเข้าพักโดยไม่แจ้งเจ้าพนักงาน 1 ราย ฉ้อโกงหลอกลวงหญิงสายชาวไทย 1 ราย จำนำสิ่งของที่รู้ว่าต้องห้ามนำเข้าสหราชอาณาจักร 1 ราย และเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอีก 27 ราย

พล.ต.ต. สุรเชษฐ์ เผยต่อว่า ตามนโยบายของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้ดำเนินการปราบปรามกลุ่มคนผิวสีที่อาจจะเข้ามาก่ออาชญากรรม และสำรวจระบบข้อมูล เนื่องจากกลุ่มคนผิวสี บางกลุ่มเป็นแหล่งฟอกเงินค้ามนุษย์ สกิมเมอร์ มั่วสุมยาเสพติด แหล่งโสเภณี และกลุ่มคนที่โอเวอร์สเตย์อยู่เกินกว่าวีซ่ากำหนด ซึ่งกลุ่มคนพวกนี้ถือว่าเป็นปัญหาทางด้านความมั่นคง ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ประเทศในด้านการท่องเที่ยว หลังจากนี้ก็จะผลักดันผู้ต้องหาทั้งหมดกลับประเทศ

ซึ่งในการลงพื้นที่กวาดล้างในครั้งนี้ก็จะทำการตรวจเก็บดีเอ็นเอตัวบุคคลเพื่อเป็นฐานข้อมูลให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อป้องกันคนพวกนี้เดินทางเข้าประเทศอีก ยิ่งใกล้วันพระราชพิธิ ถวายพระเพลิงพระศพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำให้ต้องดูแลพื้นที่ให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ 1ในผู้ต้องหาที่จับกุมได้ในครั้งนี้ เคยโดนจับในข้อหามีโคเคนไว้ในครอบครอง ถูกตัดสินจำคุกแล้ว 5 ปีเมื่อออกจากคุกกลับพบว่ายังสามารถอยู่ในประเทศ ไทยได้ ซึ่งผู้ต้องหายอมรับว่าได้มีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจนสามารถอยู่เมืองไทยได้ต่อซึ่งเรื่องนี้ต้องทำการประสานงานไปที่ สตม.ว่าเหตุใดจึงยังไม่ส่งตัวกลับประเทศเกิด หลังจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำให้ดีที่สุด จะมีการตรวจเข้มขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยวพัทยา เชียงใหม่ และภูเก็ต ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ