ปปง.ผนึกกำลังหลายฝ่าย ร่วมปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ออกหมายจับ 49 ราย รวบตัวได้แล้ว 8 ราย เข้าค้นเป้าหมาย 3 จุดยึดของกลางมาขยายผลสอบสวน
พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รักษาราชการแทนเลขาธิการ ปปง. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ รอง ผบก.ป. เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร ภาค 6 สำนักงานอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปปง. กรมสรรพากร และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เอ็มเจไอบี (MJIB) ประเทศไต้หวัน ร่วมกันแถลงผลการจับกุมตัวผู้ต้องหาเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 8 คน
ประกอบด้วยนายฟาง ยางเส็ง อายุ 50 ปี ชาวจีน นางอาหลิน ชาวไต้หวัน นายอนุรุทย์ เพิ่มทวีทรัพย์ อายุ 29 ปี น.ส.พรรณปพร ศรีอ่อนดี อายุ 24 ปี น.ส.สมพร ชูช่วย อายุ 39 ปี น.ส.กุลวดี ฉิมเพ็ชร น.ส.ดารานาถ ยังดีเลิศ น.ส.รัตนา เกษสุพรรณ์ ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ได้ร่วมบูรณการกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในพื้นที่ กทม.จำนวน 3 จุด เมื่อช่วงเช้าวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา ประกอบด้วย 1.บริษัท โกลเด้น-ริช-แทรเวล จำกัด เลขที่ 603/13 ถ.นวลจันทร์ แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม 2.บริษัท จีทีอาร์ แทรเวล แอนด์ เทรดดิ้ง จำกัด เลขที่ 538 อาคารแกรนด์ ชั้น 9 ถ.รัชดาภิเษก แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง 3.บริษัท ยู.วี.ที. แทรเวล แอนด์ เทรดดิ้ง จำกัด เลขที่ 538 อาคารแกรนด์ ชั้น 9 ถ.รัชดาภิเษก แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง
พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มมิจฉาชีพ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้ ได้ก่อเหตุใช้โทรศัพท์หลอกลวงเอาเงินจากเหยื่อ ซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เป็นจำนวนมาก โดยพฤติการณ์ของมิจฉาชีพกลุ่มนี้ จะมีการอ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐฯ จากนั้นก็จะพูดจาข่มขู่หลอกผู้เสียหาย ว่าเข้าไปมีส่วนพัวพันในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือการฟอกเงิน ก่อนจะเรียกรับเงินจากผู้เสียหายเพื่อแลกกับการไม่ต้องถูกดำเนินคดี หรือตรวจสอบ อีกทั้งมิจฉาชีพเหล่านี้มักจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา อาทิ มีการใช้ไลน์ ไอดี ของหน่วยงานรัฐฯ ในการสร้างความน่าเชื่อถือ เวลาที่ติดต่อไปหาเหยื่อ หรือแม้กระทั่งวิธีการต่างๆ โดยจะใช้หลักจิตวิทยาในการทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวมาเป็นจุดอ่อนในการก่อเหตุ ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 53 ที่ผ่านมา มีผู้เสียหายหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อถูกหลอกจากมิจฉาชีพกลุ่มนี้ จำนวนหลายราย มีการแจ้งดำเนินคดีความแล้วจำนวน 64 คดี ในพื้นที่ กทม. สมุทรปราการ เชียงใหม่ สงขลา ภูเก็ต นครราชสีมา ลำปาง สระแก้ว มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 60 กว่าล้านบาท
พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับฐานการกระทำความผิดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้จะอยู่ในพื้นที่ของ สาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศไต้หวัน ซึ่งถือเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มีลักษณะการทำงานเป็นเครือข่าย มีการแบ่งหน้าที่กันทำงานหลายส่วน มีผู้กระทำความผิดที่อยู่ทั้งในไทยและนอกราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่จึงได้เร่งทำการรวบรวบพยานหลักฐาน ขออำนาจศาลออกหมายจับผู้กระทำผิดได้จำนวน 49 ราย ซึ่งแบ่งเป็นชาวไทยประมาณ 20 คน โดยจะทำหน้าที่เป็นผู้เปิดบัญชี ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีน อย่างไรก็ตามจากการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายจำนวน 3 จุดที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้จำนวน 8 ราย พร้อมกับตรวจยึดเอกสารหลักฐานต่างๆ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มาทำการตรวจสอบหาความเชื่อมโยงไปยังผู้กระทำผิดรายอื่นๆ
พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับหัวหน้าขบวนการของมิจฉาชีพกลุ่มนี้ จากการสืบสวนขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถสืบทราบตัวแล้วว่าเป็นใคร แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดในส่วนนี้ได้ เกรงว่าจะมีผลต่อรูปคดี ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย ที่ถูกจับกุมตัวได้นั้น เบื้องต้นจากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี และรับว่ามีการโอนเงินกันเข้ามาจริง แต่ไม่ทราบว่าเงินดังกล่าวนั้น ถูกโอนมาจากที่ใด อย่างไรก็ตาม อยากฝากถึงผู้ที่รับจ้างเปิดบัญชีให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ เพื่อนำไปใช้ในการกระทำความผิดนั้นด้วยว่า หากพบว่ามีการกระทำดังกล่าวจริง ก็จะถือเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยเช่นกัน โดยจะถูกดำเนินคดีในฐานฟอกเงิน มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20.000 บาท จนถึง 200,000 บาท
นอกจากนี้ยังอยากฝากไปถึงสถาบันทางการเงินต่างๆ ให้ช่วยตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ที่มาเปิดบัญชี และมีเงินหมุนเวียนเข้า-ออกแบบผิดปกติ หรือหากพบให้ช่วยแจ้งข้อมูลมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ช่วยตรวจสอบ เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและป้องปราบการกระทำความผิดของกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ ขณะเดียวกันทางด้าน ปปง. ยังได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือในการดำเนินคดีเกี่ยวกับการฟอกเงิน เพื่อจะได้นำเงินที่ได้มาจากการก่อเหตุเหล่านี้ไปเยียวยาผู้เสียหายต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า กลุ่มบริษัทที่เจ้าหน้าที่ฯ เข้าทำการตรวจค้นเมื่อช่วงเช้านั้น พบว่า มีการตั้งขึ้นเพื่อใช้ในการฟอกเงินที่หลอกลวงผู้เสียหายมา ส่วนใหญ่ทำธุรกิจการท่องเที่ยวและจัดส่งคนงานไปทำงานที่ไต้หวัน โดยเมื่อแรงงานไทยที่ถูกส่งไปทำงานโอนเงินค่าจ้างมาให้พ่อแม่ที่ประเทศไทย ผ่านทางบริษัทดังกล่าว ทางบริษัทแห่งนี้ก็จะเก็บเงินสกุลดอลล่าร์ไต้หวันเอาไว้ แล้วจ่ายเงินสกุลบาทไทยที่ได้จากการหลอกลวงเหยื่อให้กับพ่อแม่ของแรงงานแทน