ตามรอยพ่อหลวงเกษตรผสมผสาน สร้างรายได้ 600 บาทต่อวัน

ตามรอยพ่อหลวงเกษตรผสมผสาน สร้างรายได้ 600 บาทต่อวัน

จากอาชีพพ่อค้าเร่ขายลูกชิ้นในเมืองหลวง อุบัติเหตุพลิกชีวิตกลับบ้านสืบสานตามรอยพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 จากคนหาเช้ากินค่ำสู่ชีวิตเป็นสุขอย่างพอเพียง สวนหลังบ้านเป็นแหล่งอาหารเป็นแหล่งรายได้ 600 บาทต่อวัน

เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 60 ที่บ้านนายสุขี บุญแสงส่ง อายุ 56 ปี เกษตรกร ต.สามัคคี อ.ร่องคำ จ.กาฬสินธุ์ หนึ่งในเกษตรกรที่มีความพร้อมมากในโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ได้ทรงพระราชทานโครงการพระราชดำริเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยได้มอบหมายภารกิจให้ทุกหน่วยงานของกระเทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าส่งเสริม และเติมเต็มศักยภาพของเกษตรกร ซึ่งในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ 18 อำเภอ ในส่วนของ อ.ร่องคำ และ อ.ท่าคันโท มีสำนักงานสหกรณ์ จ.กาฬสินธุ์ เป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่ ซึ่งมีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมด 210 ราย ซึ่งเกษตรกรที่เข้าร่วมจะต้องเป็นเกษตรกรที่ได้ทำเกษตรทฤษฎีใหม่ และใช้วิถีชีวิตตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

นายสุขี เล่าว่า วิถีชีวิตเดิมก็เป็นเกษตรกรตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่มาแล้ว พื้นที่มีน้อยปลูกข้าวทำไร่ก็ได้ผลผลิตน้อยหรือมีรายได้พอเลี้ยงตัวเท่านั้น จึงอพยพครอบครัวไปทำอาชีพขายลูกชิ้นทอดที่ กทม. ทำอยู่นานเป็นสิบปี ก็พอมีเงินเลี้ยงตัวและครอบครัวได้ จนกระทั่งประสบอุบัติเหตุมีรถมาเฉี่ยวชนร่างกายก็เริ่มไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ระหว่างที่อยู่พักฟื้นได้ดูข่าวทางสถานีโทรทัศน์ ได้รู้ว่าโครงการปิดทองหลังพระได้เข้ามาส่งเสริมในพื้นที่และอยู่ใกล้บ้าน อีกทั้งยังมีเพื่อนบ้านที่ทำแล้วประสบความสำเร็จจริง จึงตั้งใจเก็บของกลับมาบ้านเลยโดยมุ่งหวังเพียงอย่างเดียวคือการสืบสานเกษตรตามแนวพระราชดำริ เกษตรทฤษฎีใหม่ และปรัชญาเกษตรพอเพียง จนทำให้รู้อีกอย่างคือการทำเกษตรแบบผสมผสาน ปรับประยุกต์ให้เข้ากับพื้นที่และฤดูกาล จากการเรียนรู้ศาสตร์แห่งพระราชาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดโดยมีสหกรณ์เป็นผู้สนับสนุน ส่งเสริม ทั้งในส่วนเงินทุน การทำบัญชีครัวเรือน โอกาสของการเข้าอบรมวิชาการต่าง ๆ และในหน้าที่พี่เลี้ยงที่เข้ามาแนะนำทุก ๆ ด้าน

“เริ่มต้นปลูกพืชอย่างละนิดอย่างละหน่อย แรกๆมีรายได้วันละ 60 บาท แต่ไม่มีรายจ่ายเพราะอยู่บ้านตัวเอง ข้าวปลาอาหารก็ไม่แพงเหมือนกับที่ใช้ชีวิตอยู่ใน กทม. จากนั้นก็เริ่มเลี้ยงปลา โดยขุดสระน้ำ เลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์ เลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์ควบคู่ไป นอกจากนี้ก็ยังมีเลี้ยงจิ้งหรีด เป็ดไข่ เป็ดเนื้อ และไก่พื้นเมือง ไก่ไข่ ทุกอย่างหมุนเวียน ได้จำหน่ายโดยไม่ต้องออกไปเช่าแผงขายโดยขายที่บ้าน ทำให้ตอนนี้มีรายได้เฉลี่ยขั้นต่ำที่ 600 บาทต่อวัน ทำไปทุกวัน อยากกินอะไรก็ปลูก ปลูกอะไรไว้ก็กินสิ่งที่เราปลูก วัน ๆ หนึ่งแทบไม่มีรายจ่ายอะไร ชีวิตก็ดีขึ้น ไม่เครียด เพราะอยู่อย่างพอเพียงตามที่พ่อหลวงได้สอนไว้ มีเงินเก็บ สามารถซื้อที่ขยายออกไปเพิ่มเติม จนตอนนี้มีพื้นที่ทำการเกษตรกว่า 3 ไร่ มีเงินเก็บจากการออม และจากนี้คงไม่เปลี่ยนอาชีพอื่น คงจะเป็นเกษตรกร สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ของพ่อหลวงตลอดไป” นายสุขี กล่าว

ด้านนายรณชัย ภูครองทอง สหกรณ์ จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ 2 อำเภอ ทั้งใน อ.ท่าคันโท และ อ.ร่องคำ มีเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จ และยังดำเนินชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างมั่นคงและไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังมีการต่อยอดขยายผลไปยังชุมชนอื่นในพื้นที่ใกล้เคียง ขณะเดียวกันเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จ ก็จะได้รับการยกระดับเป็นเกษตรกรต้นแบบ พื้นที่การเกษตรนอกเหนือจากเป็นแหล่งรายได้แล้ว ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นวิทยาทานให้กับบุคคลอื่นๆ ที่สนใจอีกมากมาย โดยปัจจุบันยังมีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการอีกจำนวนมาก ซึ่งสหกรณ์ จ.กาฬสินธุ์ พร้อมเป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่จะขับเคลื่อน ส่งเสริมและสนับสนุนการสืบสานศาสตร์แห่งพระราชาให้ดีที่สุด ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้