อุทธรณ์ยืนสั่งจำคุกสาวสปา10ปี ด้านบิ๊กยธ.ช่วยประกันสู้ฎีกา

อุทธรณ์ยืนสั่งจำคุกสาวสปา10ปี ด้านบิ๊กยธ.ช่วยประกันสู้ฎีกา

ศาลอุทธรณ์ไม่รับฟังหลักฐานกระทรวงยุติธรรม พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุกสาวสปา จ.ภูเก็ต เป็นเวลา 10 ปี ปรับเป็นเงิน289,000บาท ครอบครัวร่ำไห้ ขณะที่รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ยื่นประกันโดยย้ำมั่นใจในตัวจำเลยว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ และเตรียมยื่นต่อสู้ในศาลฎีกา

วันที่ 5 ต.ค.60 ที่ศาลจังหวัดตรัง พ.ต.อ.ดุษฏี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทนายความ และนายมาร์ค พิทบูล ทนายความเพื่อสังคม นำนางสาวปวิตรา กองกำพล อายุ 32 ปี หรือพลอย สาวสปา จ.ภูเก็ต ซึ่งตกเป็นจำเลย นางชญาดา สระศรี (คุณแม่พลอย ) เพื่อนร่วมงานสปาของนางสาวปวิตรา เดินทางมาจากจังหวัดภูเก็ต รับฟังคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ในคดีนางสาวปวิตราตกเป็นจำเลยในข้อหา ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายต่อร่างกายและจิตใจ ตามหมายจับศาลจังหวัดตรัง เมื่อปี 2549 โดยทรัพย์ดังกล่าว ประกอบด้วย สร้อยคอทองคำ พระเครื่องหลวงพ่อโสธร และเงินสด รวมทรัพย์สินทั้งหมด 759,000 บาท และต่อมาเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2559 ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีความผิดจริง จึงพิพากษาจำคุก 10 ปี และปรับเป็นเงิน 289,000 บาท

ต่อมา นางสาวปวิตรา ซึ่งยืนกรานปฏิเสธมาโดยตลอดว่า ตนเองไม่ได้กระทำ ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัดภูเก็ต เพื่อให้ช่วยต่อสู้คดีเรียกร้องขอความเป็นธรรมในชั้นศาลอุทธรณ์ โดยกระทรวงยุติธรรมได้มอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ลงพื้นที่สืบสวนสอบสวน เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน ยื่นต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์

โดยหลักฐานสำคัญๆ เช่น 1.ในวันเกิดเหตุคือ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2554 ในเวลา 11.30 น. นางสาวปวิตรา ยังปรากฎตัวในกล้องวงจรปิดหน้าตู้เอทีเอ็ม ธนาคารกสิกรไทย สาขากะรน ดังนั้นเวลา 13.00 น. ที่คนร้ายเดินทางมาหาผู้เสียหายที่ร้านอาหารที่ อ.หาดสำราญ จ.ตรัง เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด 2.ผลการตรวจรักษา เข้า- ออกจากโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงวันเกิดเหตุ 10 พย.2559 นางสาวปวิตรา มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 – 75 กก.มาโดยตลอด แตกต่างจากรูปร่างของคนร้ายตัวจริงที่ฝ่ายโจทย์ระบุจากการรู้จักกันประมาณ 2 – 3 วัน และหลักฐานจากกล้องวงจรปิดห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ยืนยันว่า เป็นคนรูปร่างผอมเพรียว ไม่มีรอยสักที่ข้อมือ 3.ผลการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ นางสาวปวิตรา ไม่มีร่องรอยการจัดฟันมาก่อน ขณะที่คนร้ายตัวจริงมีการจัดฟัน ทั้งหมดนี้เป็นหลักฐานที่กระทรวงยุติธรรมยื่นต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์นัดอ่านคำพิพากษาในวันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ไร้เงาผู้เสียหายหรือทนายความ ไม่มารับฟังคำตัดสินของศาลแต่อย่างใด

ในที่สุด ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้น คือ สั่งจำคุกจำเลยเป็นเวลา 10 ปี และปรับเป็นเงิน 289,000 บาท โดยให้เหตุผลว่า พยานหลักฐานต่างๆที่ฝ่ายจำเลยได้ยื่นมา ไม่สามารถนำมาหักล้างข้อกล่าวหาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการของกระทรวงยุติธรรม ดำเนินการเพียงลำพังร่วมกับจำเลย โดยไม่มีการตั้งคณะทำงานหรือหน่วยงานอื่นร่วมทำงานด้วย จึงฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้นดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะทำงาน รวมทั้งนางปวิตรา คุณแม่ และเพื่อนๆ ต่างเดินขึ้นศาลไปด้วยสีหน้าที่มั่นใจว่า ในพยานหลักฐานและจะชนะในชั้นศาลอุทธรณ์ โดยเฉพาะนางสาวปวิตรา บอกว่า มั่นใจ แต่ยังเผื่อใจไว้เล็กน้อยเท่านั้น

แต่หลังจากศาลใช้เวลาในการอ่านคำพิพากษาประมาณ 40 นาที นางสาวปวิตรา คุณแม่ และเพื่อนๆ ต่างก็พากันร่ำไห้ โดยรองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทีมทนาย และทนายเพื่อสังคม ได้ช่วยกันระดมเงินจำนวน 63,000 บาท เพื่อเช่าหลักทรัพย์ วงเงิน 4.5 แสนบาท เพื่อยื่นต่อศาลขอประกันตัวนางสาวปวิตราในทันที โดยศาลให้ประกันตัวในเวลาประมาณ 14.00 น.

พ.ต.อ.ดุษฏี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวหลังทราบคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ว่า ทางกระทรวงยุติธรรมก็ยังยืนยันว่า นางสาวปวิตราเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็จะศึกษาคำตัดสินของศาลเพื่อแก้ไข และรวบรวมหลักฐาน หาแนวทางการต่อสู้ในชั้นศาลฏีกาต่อไป จะไม่ทิ้งจำเลยอย่างแน่นอน แต่ไม่ขอพูดถึงรายละเอียดของเหตุผลต่างๆที่ศาลยกมา และมองว่าพยานหลักฐานทุกชิ้นที่กระทรวงยุติธรรมยื่นเสนอไปต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์มีอะไรบ้าง ฟังไม่ขึ้นเพราะเหตุใด แต่ทีมงานทุกคนได้ระดมเงิน เพื่อเช่าหลักทรัพย์ยื่นประกันตัวจำเลยออกมา เพื่อให้จำเลยได้รู้สึกว่า กระทรวงยุติธรรม รวมทั้งภาคประชาชนจะไม่ทอดทิ้งเขา พร้อมยืนเคียงข้างผู้บริสุทธิ์ และจะแสวงหาหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อยื่นต่อสู้ในชั้นศาลฏีกาต่อไป

ส่วนที่ศาลไม่ฟังหลักฐานที่คณะทำงานของกระทรวงยุติธรรมที่เข้ามาดูแลคดีนี้ในศาลอุทธรณ์ โดยมองว่าไม่ได้มีในขณะต่อสู้ในระดับศาลชั้นตั้ง และเข้ามาดำเนินการเพียงลำพังร่วมกับฝ่ายจำเลย จึงไม่น่าเชื่อถือนั้น ปกติการทำงานของคณะทำงาน ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทราบและร่วมกันทำงาน จึงมีบางส่วนที่ร่วมมืออย่างตรงไปตรงมา แต่บางส่วนก็แอบให้ข้อมูล บางส่วนไม่กล้าเข้ามา แต่ก็ตำหนิกันไม่ได้ เพราะเรามั่นใจว่า ตัวจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์จะยากแค่ไหน ก็ต้องเดินหน้าต่อสู้เพื่อความยุติธรรมจะท้อไม่ได้ ต้องทำเพื่อประชาชน ทุกคนได้กำลังใจคุณพลอยว่า จะไม่ทอดทิ้ง จะเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมต่อไป

ด้านนางชญาดา สระศรี คุณแม่ของพลอยซึ่งเสียใจถึงกับร่ำไห้ กล่าวว่า หลักฐานที่ยื่นไปศาลไม่รับฟัง ก็ต้องยอมรับในคำตัดสินของศาล ก็ต้องยื่นฏีกาต่อไป เพราะลูกสาวไม่ได้ทำ ผู้เสียหายแค่ชี้ภาพถ่ายสำเนาบัตรประชาชน และมีหลักฐานอื่นๆซึ่งไม่ใช่ตัวลูกสาว โดยตั้งแต่การต่อสู้ในศาลชั้นต้นแล้ว ตัวแม่เองก็ไม่มาร่วมด้วย เพราะทั้งแม่ และลูกสาวก็ไม่รู้เรื่องกฎหมาย คิดอย่างเดียวว่า ไม่ได้ทำเชื่อว่าศาลจะต้องยกฟ้อง แต่ศาลเชื่อหลักฐานของฝ่ายโจทย์ที่มาชี้ตัวยืนยันว่าลูกสาวเป็นผู้กระทำ จึงต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ จะให้ลูกสาวติดคุกเป็นเวลา 10 ปี ในสิ่งที่ลูกสาวไม่ได้กระทำ ยืนยันจะต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม แม้จะท้อแท้ก็ตาม
ทางนายมาร์ค พิทบูล ทนายความภาคประชาชน กล่าวว่า จากการที่ลงพื้นที่ร่วมตรวจสอบหลักฐาน ก็เชื่อว่านางสาวปวิตราเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่การต่อสู้ในชั้นศาลยอมรับว่า สังคมไทยมีปัญหากับกระบวนการยุติธรรมที่ผูกติดกับกระบวนการกล่าวหา เพราะหากถูกกล่าวหาแล้ว การจะหาพยานหลักฐานเพื่อมาต่อสู้ในชั้นศาลเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะประชาชนที่ไม่ได้กระทำผิดจริง เป็นเรื่องยากมากที่จะต้องแสวงหาหลักฐาน ยิ่งหากเวลาล่วงเลยมานาน ยิ่งมาก สังคมไทยติดกับกระบวนการถูกกล่าวหา นอกจากบั่นทอนกำลังใจคนแล้ว ยังจะทำให้กระบวนการยุติธรรมไทยสั่นคลอนไปด้วย แต่ยืนยันว่าคดีนี้ทุกคนจะร่วมต่อสู้ และมีพยานหลักฐานใหม่ เชื่อว่าจะสู้ได้ในชั้นศาลฏีกาต่อไป

นางสาวปวิตรา กองกำพล อายุ 32 ปี หรือพลอย กล่าวทั้งน้ำตา (สุดสะเทือนใจ) หลังได้รับการประกันตัวออกมาว่า ความยุติธรรมอยู่ตรงไหน ตนเองไม่ได้กระทำแล้วจะให้รับผิดแทนคนอื่น มันไม่ใช่ พร้อมย้อนถามไปยังผู้ชายซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ว่า ก่อนเกิดเหตุและขณะเกิดเหตุ คุณอยู่กับผู้หญิงที่เป็นคนร้ายมาประมาณ2 – 3วัน จำไม่ได้เลยจริงหรือว่า ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่หนู ผู้หญิงที่กระทำกับคุณ เป็นหนูจริงหรือ....คุณเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า ส่วนตัวหนูอยากเจอเขามาก อยากให้เขาเห็นหนูกับตา ว่าใช่หนูจริงหรือ ที่ทำกับคุณ ที่ผ่านมาแม้จะอยากเจอเขา แต่ไม่กล้าโทรหาเค้า กลัวเขาจะหาว่า ไปคุกคามเค้า อยากให้เขาพบหนู หนูอยากพบเค้า จะให้หนูต้องมารับโทษในสิ่งที่หนูไม่ได้กระทำอย่างนั้นหรือ มันไม่ใช่ แม้จะเสียใจก็ต้องต่อสู้ต่อไปให้ถึงศาลสุดท้าย