สั่งจนท.ดูสถิติใช้งานเรือเหาะ8ปี ย้ำคุ้มค่า-ขอเห็นใจทหาร

สั่งจนท.ดูสถิติใช้งานเรือเหาะ8ปี ย้ำคุ้มค่า-ขอเห็นใจทหาร

"พล.อ.เฉลิมชัย" สั่งจนท.ดูสถิติใช้งานเรือเหาะรอบ 8 ปี ชี้เป็นยุทโธปกรณ์ใหม่ เชื่อคุ้มค่าทำให้ผู้ก่อเหตุลดลง ขอเห็นใจทหารแม้ใช้งานไม่ครบ 100% ชี้ไม่คุย "มท.1" เผยเป็นเรื่องกองทัพ ไม่ใช่ตัวบุคคล

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวชี้แจง ถึงการปลดประจำการเรือเหาะตรวจการณ์ของกองทัพบก ว่า เป็นการจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพบกตามปกติ ความมุ่งหมายเพื่อเป็นเครื่องมือให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในขณะนั้นสถานการณ์มีการสูญเสียเจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือน จึงจัดซื้อเรือเหาะเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ดูแลความปลอดภัยของประชาชน และใช้ตรวจการพื้นที่สำคัญ 3 พื้นที่ในตัวเมืองหลัก และสนับสนุนการปฏิบัติการทางยุทธวิธี เช่นการปิดล้อมตรวจค้น

ผบ.ทบ. กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่า ขั้นตอนการจัดหาเป็นไปตามขั้นตอนตามปกติ มีการจัดตั้งคณะกรรมการรายชุดเพื่อพิจารณา เมื่อรับมาใช้งานในระยะหนึ่ง ได้รับการร้องเรียน ไม่มีการตรวจสอบการจัดหาและราคาและทาง ป.ป.ช. ก็ได้เข้าไปตรวจสอบก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ส่วนขั้นตอนการใช้งานนั้น เริ่มใช้งานมาตั้งแต่ปี 2553

" เรือเหาะเป็นยุทโธปกรณ์ที่เราไม่เคยใช้งานมาก่อน ถือเป็นยุทโธปกรณ์ใหม่ที่ไม่เคยมีใช้ในภูมิภาคนี้ แต่วัตถุประสงค์แนวความคิดในการใช้งาน ถือว่าตอบโจทย์ ซึ่งด้วยความเป็นยุทโธปกรณ์ใหม่ จึงเกิดความขรุขระในการใช้งานและมีการใช้งานมาอย่างต่อเนื่อง และในปี 2556 ก็ประสบอุบัติเหตุเนื่องจากสภาพอากาศและมีการซ่อมไปในระยะหนึ่ง และนำกลับมาใช้งานต่อ ขณะนั้น ผมเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ได้ลงไปตรวจสอบการใช้งาน ซึ่งสถิติในการใช้งานน้อยลงไปมาก จึงให้มีการตรวจสอบรายละเอียดพบว่าประสบปัญหาในการใช้งาน จึงได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาความคุ้มค่าในการใช้งาน หรือการส่งซ่อม และคณะกรรมการได้พิจารณาว่าการชำรุดของผืนผ้าใบเป็นไปตามห้วงระยะเวลาไม่คุ้มค่าสำหรับการส่งซ่อม ต้องจำหน่ายเรือเหาะมูลค่า 66 ล้านบาท จากมูลค่ารวม 340 ล้านบาท" พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

พล.อ.เฉลิมชัย ยังเปิดเผยต่อว่า ขณะนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่รวบรวมสถิติการใช้งานเรือเหาะตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมา แต่ต้องเข้าใจว่าเรือเหาะเป็นยุทโธปกรณ์ในการป้องปราม ไม่สามารถชี้ตัวบุคคลและจับตัวได้ คล้ายกับอากาศยานที่บินตรวจการณ์ ซึ่งการปฏิบัติงานทุกครั้งมีการจดบันทึกเอาไว้บางปีก็ใช้งาน 30 ครั้ง และถ้าหากเป็นช่วงแรกแรกของการใช้งานก็มีเป็นจำนวนมาก

" ผมคิดว่าเรือเหาะมีความคุ้มค่าในการใช้งาน เนื่องจากทำให้สถิติการปฏิบัติการของฝ่ายตรงข้ามลดลง จนมาถึงในปัจจุบัน ซึ่งเรือเหาะอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของยุทโธปกรณ์ในการป้องปรามแต่ต้องสรุปตัวเลขอีกครั้ง ซึ่งผมพร้อมที่จะชี้แจงกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อย่างไรก็ตามถือเป็นประสบการณ์ในการทำงาน เหมือนเราไปซื้อของในห้างแล้วคิดว่าดีแล้ว แต่เมื่อนำมาใช้งานก็ไม่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถใช้งานได้" ผบ.ทบ.กล่าว

เมื่อถามว่ารวมถึงการซื้อรถถังของจีนด้วยหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า การจัดซื้อของดูที่ความต้องการของหน่วยและเมื่อหน่วยเสนอขึ้นมากองทัพบกก็จะจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาคุณสมบัติเฉพาะ ว่าเหมาะสมหรือไม่ ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการการจัดหา โดยจะมีการประกวดราคาการแข่งขันขึ้นอยู่กับยุทโธปกรณ์แต่ละประเภท

เมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะที่เป็นผู้อนุมัติในการจัดซื้อในสมัยนั้นหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ตนยังไม่ได้พูดคุย ซึ่งการจัดหายุทโธปกรณ์เป็นเรื่องของกองทัพ ไม่ใช่ตัวบุคคลและตนก็มาเป็นผู้บัญชาการทหารบกในขณะนี้ก็ต้องรับผิดชอบในการดำเนินการต่อไป

"ขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ทหาร ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งผมก็พยายามจัดหายุทโธปกรณ์ ที่มีคุณค่า อย่างเหตุการณ์การลอบวางระเบิด เมื่อเช้าที่ผ่านมาก็มีเสียชีวิตไป 4 นาย แม้เราจะใช้รถหุ้มเกราะ แต่ขณะนี้ระเบิดมีการพัฒนาให้เกิดความรุนแรงขึ้นมาก ขออย่ามองแค่มุมเดียว ขอให้มองถึงการรักษาชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ด้วย" พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว