'พลังงาน'ยันเปิดรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปเสรีสิ้นปีนี้

'พลังงาน'ยันเปิดรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปเสรีสิ้นปีนี้

"รมว.พลังงาน" ยันเปิดรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปเสรีสิ้นปีนี้ รอ "กบง." เคาะรูปแบบโครงการช่วง ต.ค.นี้ ชี้รับซื้อต้องต่ำกว่าราคาขายส่งไฟฟ้าที่ 2.60 บาท/หน่วย

พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยในงานสัมมนา Energy Symposium 2017 เรื่อง Energy 4.0 โอกาสของอุตสาหกรรมไทยว่า กระทรวงพลังงานเตรียมเปิดโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา(โซลาร์รูฟท็อป)แบบเสรีในช่วงสิ้นปีนี้ หลังจากสถาบันวิจัยพลังงานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาข้อดีข้อเสียของโครงการโซลาร์รูฟท็อปนำร่องเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) จะรวบรวมข้อมูลรายละเอียดโครงการเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)ในเดือน ต.ค.นี้ พิจารณาอนุมัติกรอบดำเนินโครงการ ก่อนเปิดรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปส่วนเกินต่อไป

เบื้องต้นราคารับซื้อไฟฟ้าจะมีอัตราที่แตกต่างกันตามประเภทผู้ผลิตไฟฟ้า เช่น กลุ่มบ้านอยู่อาศัย อาจได้ราคาซื้อสูงกว่ามากกว่ากลุ่มภาคธุรกิจ แต่ราคารับซื้อต้องต่ำกว่าราคาขายส่งไฟฟ้าปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 2.60 บาทต่อหน่วย เพื่แไม่ให้ส่งผลกระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ

ส่วนสถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) เดือน ก.ย.นี้ ที่ปรับขึ้น 67 สตางค์ต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 21.15 บาทต่อกิโลกรัม เป็นการสะท้อนต้นทุนราคาแอลพีจีในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นและมีแนวโน้มทรงตัวระดับสูงถึงปลายปีนี้ จากผลกระทบของพายุที่เข้ามาต่อเนื่องส่งผลให้แหล่งผลิตก๊าซต้องหยุดลงและเกิดสถานการณ์แย่งซื้อแอลพีจีล่วงหน้า แต่คาดว่า ราคาคงไม่สูงขึ้นไปจากปัจจุบันมากนักเพราะมีการซื้อล่วงหน้าไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงาน ยืนยันจะดูแลการปรับขึ้นราคาขายปลีกแอลพีจีไม่ให้เป็นภาระต่อประชาชน หรืออยู่บนพื้นฐานปรับขึ้นไม่เกิน 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ซึ่งเป็นระดับที่กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่าจะไม่มีผลกระทบต่อราคาสินค้า โดยปัจจุบันกองทุนน้ำมันในส่วนของบัญชีแอลพีจี มีเงินเหลืออยู่ประมาณ 5,000 ล้านบาท สามารถดูแลราคาขายปลีกในระดับปัจจุบันต่อเนื่องได้ 10 เดือน ดังนั้น หากมีจังหวะที่ราคาแอลพีจีตลาดโลกปรับลดลง กระทรวงพลังงานก็อาจพิจารณาเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนฯเพิ่ม เพื่อดูแลเสถียรภาพกองทุนฯในอนาคต แต่หากราคาแอลพีจียังปรับสูงขึ้นต่อเนื่องก็มีโอกาสที่จะนำเงินจากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีเงินอยู่ 3.2 หมื่นล้านบาท มาช่วยเหลือราคาขายปลีกแอลพีจีได้

พล.อ.อนันตพร กล่าวว่า สำหรับนโยบาย Energy 4.0 กระทรวงพลังงาน มีนโยบายที่จะพัฒนาพลังงานด้วยนวัตกรรมใหม่ๆให้สอดคล้องกับ นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของประเทศเช่น การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) ในประเทศ ที่ตั้งเป้าจะมีรถยนต์ไฟฟ้าถึง 1.2 ล้านคัน ในปี 2579 มีสถานีอัดประจุไฟฟ้า 150 สถานี ตามหัวเมืองใหญ่ของประเทศ และโครงการสมาร์ทซิตี้

ทั้งนี้ การลงทุนด้านพลังงานทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนในแต่ละปีมีมูลค่าสูง 5 - 6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นโอกาสดีของภาคอุตสาหกรรมไทยที่จะต้องศึกษาหาช่องทางเข้ามามีส่วนร่วมลงทุนในโครงการต่างๆเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป