สรุปภาวะตลาดเงินตลาดทุนรายสัปดาห์ 28 สิงหาคม-1 กันยายน 2560

Foreign Exchange Market

-  เงินบาทแข็งค่ากลับมาทดสอบระดับ 33.15 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง  ท่ามกลางแรงกดดันเงินดอลลาร์ ที่มาจากหลายด้าน อาทิ ข้อมูลการใช้จ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา Core PCE ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าที่คาด ซึ่งทำให้จังหวะเวลาการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ยังไม่มีความชัดเจน ประกอบกับมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี และคำกล่าวของรมว. คลังสหรัฐฯ ที่ระบุว่า การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ อาจจะส่งผลให้สหรัฐฯ มีความได้เปรียบทางการค้า นอกจากนี้ เงินบาทยังมีแรงหนุนจากสถานะซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติในช่วงปลายสัปดาห์ด้วยเช่นกัน

-  สำหรับในวันศุกร์ (1 ก.ย.) เงินบาทอยู่ที่ 33.17 บาทต่อดอลลาร์ จากระดับ 33.30 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (25 ส.ค.)

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (4-8 ก.ย.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 33.10-33.30 บาทต่อดอลลาร์ โดยอาจต้องติดตามทิศทางของตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกหลังการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ขณะที่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญในระหว่างสัปดาห์ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อของโรงงาน สต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนก.ค. และดัชนี PMI ภาคบริการเดือนส.ค. นอกจากนี้ นักลงทุนอาจมีจุดสนใจเพิ่มเติมที่ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ประเด็นทางการเมืองในสหรัฐฯ ผลการประชุมนโยบายการเงินของ ECB  รวมถึงดัชนี PMI ภาคบริการ และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 ของญี่ปุ่นและยูโรโซน ด้วยเช่นกัน

Stock Market

-  ดัชนีตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,600 จุด โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,618.42 เพิ่มขึ้น 2.70% จากสัปดาห์ก่อน มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นประมาณ 61.79% จากสัปดาห์ก่อน มาที่ 57,730.61 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ mai ปิดที่ 550.20 จุด เพิ่มขึ้น 2.75% จากสัปดาห์ก่อน

-  ดัชนีตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดระหว่างวันที่ 1,626.22 จุดในช่วงกลางสัปดาห์ (สูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.  56) จากแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศและบัญชีบริษัทหลักทรัพ โดยมีปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ประกอบกับมีแรงซื้อในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน หลังมีข่าวว่าโรงกลั่นบางแห่งของสหรัฐฯ ต้องหยุดดำเนินงานชั่วคราวจากผลกระทบของพายุ นอกจากนี้ ภาพรวมดัชนี SET ยังมีแรงประคองให้ขึ้นต่อได้ในช่วงปลายสัปดาห์จากหุ้นขนาดกลางและเล็ก

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (4-8 ก.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,610 และ 1,600 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,625 และ 1,640 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คงได้แก่ ทิศทางเงินทุนของนักลงทุนต่างประเทศ, สถานการณ์ภัยพิบัติในสหรัฐฯ รวมถึงการเมืองบริเวณคาบสมุทรเกาหลี ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ อาทิ ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ และยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนก.ค. ของสหรัฐฯ การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป, ดัชนีราคาผู้บริโภคของจีน และ จีดีพีไตรมาส 2/2560 ของญี่ปุ่น