MORNING CALL ACTION NOTES (15 ส.ค.60)

MORNING CALL ACTION NOTES (15 ส.ค.60)

ปรับตัวขึ้นตามตลาดรอบบ้าน

ตลาดหุ้นไทยวันก่อนปรับตัวลงแรงจากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือ-สหรัฐ ส่งผลให้มีแรงขายกลุ่ม TRANS ICT CONS กดดันให้ SET ปิดที่ 1,561.31 จุด (-10.33 จุด) Vol. 4.3 หมื่นลบ. โดย Foreign Net +992 ลบ. TFEX Net -23,194 สัญญา ตราสารหนี้ 8,977 ลบ.

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

+ ตลาดหุ้น DJ ปรับตัวขึ้น หลังนักลงทุนคลายความกังวลสถานการณ์คาบสมุทรเกาหลี เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐจะยังคงใช้แนวทางทางการทูตในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง สอดคล้องกับ VIX index ที่ปรับตัวลงสู่ 12.3 จุด

+ ผลผลิตอุตสาหกรรมของจีนเดือนก.ค. +6.4% YoY และ +0.41% MoM

+ คาดกนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50% ในการประชุมวันที่ 16 ส.ค. เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ

+ Fund Flow ต่างชาติพลิกเป็น Net Buy 3 วันต่อเนื่องราว 2.5 พันลบ. แต่ตั้งแต่ต้นเดือนส.ค.ยังเป็น Net Sell 5.2 พันลบ.

- ราคาน้ำมันปรับตัวลงล่าสุด 47.6 us/barrel หลังจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น รวมถึงความกังวล Demand น้ำมันของจีนลดลงหลังกำลังการกลั่นน้ำมันของจีนลดลงราว 500,000 บาร์เรล/วัน

ภาวะตลาดหุ้นไทยได้รับ sentiment เชิงบวกจากความคลายกังวลต่อสถานการณ์คาบสมุทรเกาหลี รวมถึง Fund Flow ต่างชาติที่พลิกเป็น Net Buy 3 วันราว 2.5 พันลบ. อย่างไรก็ตามคาดว่าจะมีแรงกดดันจากกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันปรับตัวลง ดังนั้นคาดว่า SET จะปรับตัวขึ้นในกรอบจำกัดบริเวณ 1,565 – 1,570 จุด ก่อนจะอ่อนตัวลง

กลยุทธ์การลงทุน Selective Buy

- BANPU ราคาถ่านหินทรงตัวระดับสูงล่าสุด 95.45 US/Ton

- กลุ่มเดินเรือ ค่าระวางทำ High ในรอบ 3 เดือนล่าสุด 1,155 จุด

- กลุ่มที่คาดว่างบ Q2/17 จะเติบโตขึ้น CK RS


หุ้นแนะนำพิเศษ

- RCL (ราคาปัจจุบัน 8.60 บาท) ผลประกอบการ 2Q60 พลิกเป็นกำไรสุทธิที่ 162.8 ล้านบาท จากรายการพิเศษ 62.8 ล้านบาท คิดเป็นกำไรปกติที่ 100 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนปกติทั้ง QoQ และ YoY ที่ 314 และ 211 ล้านบาท เป็นกำไรปกติครั้งแรกในรอบ 8 ไตรมาส หลักๆเกิดจากรายได้จากการเดินเรือเพิ่มขึ้น 5.8%YoY ตามปริมาณการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้น 5.4%YoY มาอยู่ที่ 4.57 แสนตู้ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นแรงมากจาก 2.2% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 12.2% ส่วนค่าใช้จ่ายในการและบริหารต่อรายได้ลดลงจาก 9.3% ในช่วงเดียวของปีก่อน มาอยู่ที่ 8%

- ทั้งนี้ หากพิจารณาดัชนี SCFI ซึ่งเป็นตัวชี้ววัดค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ในแถบเอเชีย (รายงานเป็นรายสัปดาห์) ตั้งแต่ต้นงวด 3Q60 ถึงปัจจุบัน (QTD) ยังคงมีค่าเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 3%QoQ สะท้อนแนวโน้มค่าระวางเรือที่ยังเกินระดับคุ้มทุนของบริษัท ส่วนในด้าน Valuation ยังน่าสนใจ โดยซื้อขายอยู่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (BVS) ที่ 10.40 บาทต่อหุ้น และการพลิกเป็นกำไรปกติ ครั้งแรกในรอบ 2 ปี น่าจะเป็น Sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นให้มีโอกาสขยับขึ้นไปซื้อขายในระดับเดียวกับมูลค่าทางบัญชีได้เป็นอย่างต่ำ

หุ้นมีข่าว

- TPCH (ราคาปิด 16.20 ราคาเหมาะสม 22.20 อยู่ระหว่างปรับประมาณการลง) รายงานกำไร 2Q60 ที่ 40.6 ล้านบาท -37%QoQ และ -19%YoY เนื่องจากในไตรมาสนี้มีการบันทึกค่าเผื่อด้อยค่าตั๋วแลกเงิน 20 ล้านบาท โดยหากไม่รวมค่าใช้จ่ายดังกล่าวกำไรปกติจะอยู่ที่ 60.5 ล้านบาทลดลง 6%QoQ แต่เติบโต 20%YoY อย่างไรก็ตามบริษัทคู่ค้าปรับขึ้นค่าการบริหารโรงไฟฟ้า MWE จากหน่วยละ 1.75 บาทต่อหน่วยเป็น 2.35 บาทต่อหน่วยตามราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวขึ้นเป็นปัจจัยกดดันผลประกอบการ

- ความเห็น เรายังมีมุมมองบวกต่อผลประกอบการในไตรมาส 2 เพราะมีค่าใช้จ่ายพิเศษ นอกจากนี้ 2H60 ผลประกอบการมีโอกาสเติบโตขึ้นจากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า PGP (กำลังการผลิต 9.2 MW) ซึ่งเดินเครื่องแล้วตั้งแต่ปลายเดือนก.ค. ที่ผานมา และโรงไฟฟ้า SGP (กำลังการผลิต 9.2 MW) ที่คาดว่าจะเริ่ม COD ใน 3Q60 จะเข้ามาช่วยหนุนผลประกอบการเพิ่มเติม โดย 1H60 กำไรคิดเป็น 26% ของประมาณการทั้งปีที่ 391 ล้านบาท ซึ่งเราอยู่ระหว่างปรับประมาณการลง

- XO (ราคาปิด 5.15 ซื้อสะสม ราคาเหมาะสม 5.40) รายงานกำไร 2Q60 ที่ 15.6 ล้านบาท -47%YoY แต่ +8%QoQ แม้ว่ารายได้จะปรับตัวลง 11%QoQ สู่ระดับ 227 ล้านบาทตามปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่ลดลง อย่างไรก็ตามอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นจากไตรมาส 1 ที่ 27% เป็น 32% เนื่องจากบริษัทเริ่มลดจำนวนพนักงานฝ่ายผลิตที่โรงงานเก่าลงหลังย้ายฐานการผลิตไปยังโรงงานแห่งใหม่

- BIZ (ราคาปิด 4.36 ซื้อ ราคาเหมาะสม 5.13 อยู่ระหว่างปรับลดประมาณการ) รายงานกำไร 2Q60 ที่ 16.5 ล้านบาท +104%YoY และ 291%QoQ เนื่องจากไตรมาสนี้มีการส่งมอบเครื่องฉายรังสีให้ลูกค้าทำให้รายได้เติบโต 434%QoQ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลงจาก 27% สู่ระดับ 13% เนื่องจากรายได้จากการขายเครื่องฉายรังสีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่ารายได้จากการบริการ ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารทรงตัวในระดับสูงที่ 7.3 ล้านบาทเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

- ETE (ราคาปิด 3.94 ซื้อ ราคาเหมาะสม 5.06) รายงานกำไร 2Q60 ที่ 8.7 ล้านบาท -53%YoY และ -49%QoQ เนื่องจากรายได้จากวิศวกรรมและรายได้งานบริการและบริหารจัดการลดลง 21%YoY เนื่องจากรายได้จากวิศวกรรมเกี่ยวกับโทรคมนาคมลดลง และรายได้จากการบริหารจัดการลดลงหลังบริษัทเลือกต่อสัญญาเฉพาะโครงการที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเหมาะสม นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 7.5 ล้านบาทเพราะไม่มีรับคืนหนี้สูญเหมือนในไตรมาส 1 ที่ 3.6 ล้านบาท และยังมีค่าใช้จ่ายในการประมูลงานรวมถึงการจัดตั้งบริษัทลูกอีก 2 แห่ง

- BPP (ราคาปิด 26.25 Bloomberg Consensus 27.63) รายงานกำไร 2Q60 ที่ 1.83 พันล้านบาท +33%YoY และ +76%QoQ โดยได้รับแรงหนุนจากโรงไฟฟ้าหงสาที่รับรู้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น 580 ล้านบาทสู่ระดับ 1.06 ล้านบาทจากการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามโรงไฟฟ้าที่จีนต้นทุนถ่านหินปรับตัวขึ้นตามราคาถ่านหินโลกคอยกดดันผลประกอบการ

- BANPU (ราคาปิด 17.10 Bloomberg Consensus 22.21) รายงานกำไร 2Q60 ที่ 2.26 พันล้านบาท +703%YoY และ +57%QoQ เนื่องจากผลการดำเนินงานธุรกิจถ่านหินปรับตัวขึ้นตามราคาจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นตามตลาดโลกราว 52%YoY สู่ระดับ 70 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ต้นทุนขายปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 7%YoY สู่ระดับ 46 ดอลลาร์ต่อตัน นอกจากนี้ยังรับรู้กำไรจาดธุรกิจโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกราว 600 ล้านบาทจากโรงไฟฟ้าหงสาที่เดินเครื่องได้มีประสิทธิภาพิมขึ้น

- PTT (ราคาปิด 381 Bloomberg Consensus 425.25) รายงานกำไร 2Q60 ที่ 3.13 หมื่นล้านบาท +26%YoY แต่ -32%QoQ เนื่องจากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีมีกำไรลดลงตามส่วนต่างผลิตภัณฑ์ และยังมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันดิบหลังราคาน้ำมันปรับตัวลงเข้ามากดดันเพิ่มเติม ขณะที่ในไตรมาส 2 มีกำไรจากการขายกองทุนรวมเข้ามา 1 พันล้านบาทลดลงจากไตรมาส 1 ที่มีรายได้เงินปันผลจากกองทุนรวม 4.3 พันล้านบาทคอยกดดันผลประกอบการเพิ่มเติม

- FTE (ราคาปัจจุบัน 3.32 บาท ราคาเหมาะสม 3.75 บาท) รายงานกำไร 2Q60 เติบโต 60%YoY มาอยู่ที่ 27.2 ล้านบาท จากรายได้รวมเติบโต 10.1%YoY แม้รายได้จากการขายทรงตัว แต่รายได้จากธุรกิจรับเหมาเติบโตสูงถึง 51.3%YoY นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้นยังเพิ่มขึ้นจาก 22% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 27% ขณะที่อัตราค่าใช้จ่ายต่อรายได้ทรงตัว

- ผลประกอบการช่วง 1H60 คิดเป็น 53% ของประมาณการกำไร ส่วนโอกาสในการขยายตัวของรายได้จากการรับเหมายังมีอีกมาก ด้วย Backlog ปัจุจุบันที่สูงเกิน 250 ล้านบาท และยังมีความเชี่ยวชาญในตัวงานระบบดับเพลิงในโรงไฟฟ้าแรงสูงของ EGAT ที่รอการเปิดประมูลอีกกว่า 168 แห่ง (จากทั้งหมด 218 แห่ง) คาดมูลค่ารวมกว่า 2 พันล้านบาท สะท้อนจาก 50 แห่งแรกที่ได้มีการปรับปรุงระบบไปแล้วราว 65% เป็นผลงานของ FTE ทั้งสิ้น จึงคงประมาณการกำไรปกติปี 60 ตามเดิม เติบโต 25.4%YoY

- SMPC (ราคาปิด 13.90 บาท ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 17.95 บาท) จากที่ประชุม ผู้บริหารแจ้งว่ามีการเพิ่มกำลังการผลิตถังแก๊สอีก 1 ล้านใบ/ปี จากการจัดสรรเครื่องจักรและบุคลากรใหม่ให้ได้ไลน์การผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยเงินลงทุนราว 10 ล้านบาท เป็นผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 7.2 ล้านใบ/ปี เป็น 8.2 ล้านใบ/ปี เริ่มใช้กำลังผลิลส่วนเพิ่มตั้งแต่ 3Q60 อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ราคาเหล็กที่ยังทรงตัวในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย YTD เพิ่มขึ้น 21.4%YoY) รวมถึงค่าระวางเรือในการขนส่งสินค้าไปยังประเทศบังคลาเทศอาจปรับตัวสูงขึ้นจากความหนาแน่นของท่าเรือ อาจกดดันอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับต่ำ

- ผลประกอบการ 2Q60 ที่ออกมาอยู่ที่ 102 ล้านบาท ลดลง 31.3%YoY บ่งชี้ถึงผลกระทบจากต้นทุนเหล็กที่เพิ่มขึ้นในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ยอดขายยังเติบโตถึง 37.5%YoY จากคำสั่งซื้อในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาไม่ว่าจะเป็น บังคลาเทส หรือแถบแอฟริกา ที่มีการเติบโตของความต้องการจากฐานต่ำในระดับสูงมากๆ จึงเชื่อว่ากลยุทธ์การขยายกำลังการผลิตจะใช้เวลาไม่นานในการ Ramp up ทำให้มี Economic of Scale มากชึ้น และน่าจะช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม กำไรงวด 1H60 คิดเป็นสัดส่วน 33.3% ของประมาณการกำไรปี 60 จาก Bloomberg Consensus จึงควรติดตามการปรับลดประมาณการและราคาเหมาะสมในอนาคต

- PSH (ราคาปิด 22.80 Bloomberg consensus 24.70) รายงานกำไรสุทธิ 2Q60 ที่ 1,743 ล้านบาท -5%YoY +156% QoQ ดีกว่า consensus คาด 1H60 มีกำไรสุทธิ 2,425 ล้านบาท -21%YoY พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.57 บาท คิดเป็น Dividend Yield 2.5%

- EARTH ธนาคารแห่งประเทศไทยรับหนี้สีย “เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ” ทำให้ NPLทั้งระบบไตรมาส2 พุ่งแตะ 2.95% หากตัดออกจะเหลือแค่ 2.85% เผยจากการตั้งสำรองต่อเนื่องส่งผลให้ ROAแบงก์ทั้งระบบ ลดลงมาอยู่ที่1.1% จากไตรมาส 1 ที่ 1.16% (ข่าวหุ้น)

- SIMAT จะเพิ่มทุน 39.72 ล้านหุ้น ขาย PP รองรับเป็นเงินทุนหมุนเวียน-ขยายธุรกิจ

- UBIS เตรียมดำเนินคดีทางกม.กับ"อาร์เอฟวิชั่น"เหตุยังไม่ได้เงินกรณีขายหุ้นคืนหลังยกเลิกลงทุนใน"แฟมิลี่"

- GUNKUL ใช้เงิน 4.06 ลบ.ซื้อหุ้นเพิ่มในธุรกิจผลิต-จำหน่ายผลิตภัณฑ์ส่องสว่าง หนุนถือหุ้นเพิ่มเป็น 99.99%



ตลาดหุ้นดาวโจนส์ +135.39 จุด

- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,993.71 จุด พุ่งขึ้น 135.39 จุด หรือ +0.62% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,340.23 จุด เพิ่มขึ้น 83.68 จุด หรือ +1.34% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,465.84 จุด เพิ่มขึ้น 24.52 จุด หรือ +1.00% เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐระบุว่า รัฐบาลสหรัฐจะยังคงใช้แนวทางทางการทูตในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไร หลังจากตลาดร่วงลงก่อนหน้านี้

ตลาดน้ำมัน NYMEX -1.23 USD/Barrel

- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 1.23 ดอลลาร์ หรือ 2.52% ปิดที่ 47.59 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และข้อมูลที่บ่งชี้ว่า จีนชะลอกำลังการกลั่นน้ำมัน ส่งผลให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์น้ำมันของจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีการใช้น้ำมันมากเป็นอันดับ 2 ของโลก

ส่องหุ้น

- SALEE แนวรับ 1.45 , 1.38 บาท แนวต้าน 1.50-1.51 , 1.59 บาท

ระดับราคามีการปรับตัวลดลงต่ออีกเล็กน้อยหลังจากปรับตัวลดลงแรงไปในวันก่อน ในขณะที่วอลุ่มซื้อขายลดลง เข้าสู่การพักฐานชั่วคราว หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาหรือปิดต่ำกว่าแถวๆ 1.45 บาทซะก่อน หรือเต็มที่ไม่หลุดลงมาต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิมที่ 1.38 บาทอีก ระดับราคาจึงจะมีลุ้นดีดกลับได้อีกครั้ง โดยมีแนวต้านแรกที่ 1.5-1.51 บาท และแนวต้านที่สองที่ 1.59 บาท

- VTE แนวรับ 2.02-2.00 บาท แนวต้าน 2.10-2.12 บาท

ระดับราคามีความพยายามประคองตัวปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันได้ อีกทั้งกำลังจะเกิดสัญญาณ Golden cross ในวันนี้ ในขณะที่วอลุ่มยังทรงตัวและปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาหรือปิดต่ำกว่าแถวๆ 2.02-2.00 บาทอีก ระดับราคามีโอกาสดีดกลับขึ้นต่อแถวๆ เส้น BollingerTop ที่ 2.10-2.12 บาทได้ต่อไป

IRPC Analyst meeting (ราคาปิด 5.40 Bloomberg Consensus 6.00)

- โครงการ UHV ยังผลิตสารPropylene ได้เพียง 18% ซึ่งต่ำกว่าแผนที่ 22% เนื่องจากตัวเร่งไม่เหมาะสม ซึ่งคาดว่าสามารถแก้ไขได้ในต้นไตรมาส 4 ส่วนการปรับปรุงหอกลั่นให้สามารถรับน้ำมันดิบที่หลากหลายคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2018

- ไตรมาส 3 บริษัทตั้งเป้ากำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 194 KBD สู่ 200 KBD และคาดว่าจะค่อยๆเพิ่มขึ้นในไตรมาส4 หลังปรับปรุงตัวเร่งให้สามารถผลิตสาร Propylene ได้ 22%ตามเป้าหมาย นอกจากนี้คาดว่าโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก PP กำลังการผลิต 3 แสนตันต่อปีจะเริ่ม COD ครบในไตรมาส 3 นี้

- ความเห็น เราคาดว่ากำไรปกติจะเติบโตเล็กน้อยในไตรมาส 3 ตามการใช้กำลังการกลั่นที่สูงขึ้น และจะเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 4 จากโรงงานผลิต PP เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์เต็มไตรมาส แต่บริษัทยังไม่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากโครงการUHVจนกว่าการปรับปรุงหอกลั่นจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2019