เปิดคำพิพากษา! ศาลฎีกายกฟ้องคดีสลายพธม. 'สมชาย-ชวลิต'รอดคุก

ด่วน! ศาลฎีกายกฟ้องคดีสลายชุมนุมพธม. "อดีตนายกฯสมชาย-พล.อ.ชวลิต-น้องพล.อ.ประวิตร" รอดคุก
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วันที่ 2 ส.ค. 60 เมื่อเวลา 11.00 น. นายธนสิทธิ์ นิลกำแหง ว่าที่รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีสลายม็อบ พธม. และองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน ได้นัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อม.2/2558 ที่ ป.ป.ช.ได้ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 อายุ 70 ปี น้องเขยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ , พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือบิ๊กจิ๋ว อดีตรองนายกรัฐมนตรี อายุ 85 ปี นักการเมืองที่เคยร่วมทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านหลายสมัย , พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. อายุ 68 ปี น้องชายของ พล.อ.ประวิตร รองนายกฯ รัฐบาล คสช. , พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. อายุ 66 ปี เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีกล่าวหาว่าเมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 รัฐบาลนายสมชาย ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจขอคืนพื้นที่การชุมนุมจากกลุ่ม พธม.ที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา ซึ่งภายหลังการสลายการชุมนุมโดยมิชอบ ไม่เป็นไปตามหลักสากล กระทั่งมีผู้เสียชีวิต 2 ราย และผู้บาดเจ็บ 471 รายภายหลังไต่สวนพยานนัดสุดท้ายเสร็จเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี
โดยใช้เวลาอ่านคำพิพากษายาว 1 ชั่วโมง 30 นาที จำนวน 40-50 หน้า พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่
ซึ่งองค์คณะพิเคราะห์พยานหลักฐานของ ปปช.โจทก์ ที่มีนายสำราญ รอดเพชร แกนนำผู้ชุมนุมวันเกิดเหตุ รวมทั้งทั้งผู้ชุมนุม ขณะที่ฝ่ายจำเลยมีนายสุชาติ ลายน้ำเงิน หนึ่งในส.ส.ที่ติดอยู่ในอาคารรัฐสภา รวมทั้งเจ้ากน้าที่ตำรวจฝ่ายปฏิบัติการ ผู้เชี่ยวชาญการเก็บกู้วัตถุระเบิด ประกอบรายงานกานทดสอบยิงแก๊สน้ำตาแล้วเห็นว่า กรณีเหตุการช่วงเช้าวันที่ 7 ต.ค.51 ซึ่งจำเลยที่ 1 โดยมติครม.ให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ติดตามและควบคุมเหตุการณ์ ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 3 และ 4 ปฏิบัติตามมติครม.ในการผลักดันผู้ชุมนุม เพื่อให้ครม. ส.ส. และสว. เข้ารับฟังการแถลงนโยบาย โดยจำเลยที่ 1 ต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญฯ ปี 2550 มาตรา 176 ซึ่งศาลเห็นว่าก็เป็นคำสั่งให้ปฏิบัติการเพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ การที่ผู้ชุมนุมปิดล้อมประตูเข้าออกทุกด้านของอาคารรัฐสภาถือว่าเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่และไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบสันติตามที่แกนนำได้ประกาศไว้
เนื่องจากตามทางนำสืบของเจ้าหน้าที่พบว่าภายหลังเกิดเหตุ ในพื้นที่พบระเบิดปิงปองและตามรายงานตามทางข่าวพบว่าผู้ชุมนุมพกอาวุธ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้โล่ผลักดัน. ผู้ชุมนุมได้ใช้หนังสติกยิงลูกเหล็ก หัวน๊อต ลูกแก้ว รวมทั้งขว้างปาไม้ ขวดน้ำใส่เจ้าหน้าที่ และการปิดล้อมอาคารรัฐสภาก็นำรั้วลวดหนามที่คล้ายกับที่ใช้ในทางการทหารและแผนกั้นเหล็กมาวางไว้ที่กลางถนน อีกทั้งยังนำยางรถยนต์ขวางทางดังกล่าว และลาดน้ำมันไว้บนพื้นผิวจราจรด้วย
การชุมชุมนั้นจึงไม่ได้เป็นการที่ชุมนุมที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ขณะที่พยานหลักฐานและข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รักษาความสงบเรียบร้อยตามที่ได้รับมอบหมายและได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของแผนรักษาความสงบ (กรกฎ/48) โดยใช้มาตรการควบคุมฝูงชนจากเบาไปหาหนักแล้วเท่าที่จะทำได้ในสถานการณ์ขณะนั้น ส่วนเหตุที่ไม่สามารถใช้รถดับเพลิงฉีดน้ำเพื่อผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุม รวมทั้งการใช้รถส่องสว่างในช่วงค่ำ เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากกทม. โดยมีการติดต่อประสานผู้ว่าฯกทม.แล้วแต่ไม่สามารถติดต่อได้
พยานหลักฐานของ ป.ป.ช. โจทก์จึงรับฟังไม่ได้วาสจพเลยทั้งสี่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
สำหรับเหตุการณ์ช่วงบ่ายและช่วงค่ำที่ ป.ป.ช. โจทก์ได้ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า พล.อ.ชวลิต จำเลยที่ 2 ได้ลาออกจากตำแหน่งหลังเกิดเหตุการณ์ในช่วงเช้า การที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้กลับมาปิดล้อมอาคารรัฐสภาหลังจากช่วงเช้า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามผลักดันผู้ชุมนุมไปยังถ.อู่ทองใน โดยเจ้าหน้าที่ใช้รถโมบายหรือรถเย็นทั่วหล้าประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มผู้ชุมนุมถอยล่น แต่ผู้ชุมนุมไม่ยอม เรียกพรรคพวกมาเพิ่มจนปิดล้อมรัฐสภา ทำให้ครม. ส.ส. และสว.ติดอยู่ในอาคารจนจำเลยที่ 1 ต้องปีนกำแพงหนี ซึ่งการปลุกระดมผู้ชุมนุมและจะบุกเข้าไปข้างในรัฐสภาก็ไม่ใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปฏิบัติตามขั้นตอนแผนกรกฎ/48 และจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตาเพื่อช่วยการเปิดทางให้ผู้ที่ติดอยู่ในรัฐสภาได้ออกมา แม้พยานโจทก์และจำเลยทั้งสี่ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้แก๊สน้ำตายังมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับผลที่เกิดจากการใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งพยานโจทก์ระบุว่าแก๊สน้ำตาที่ผลิตจากจีนมีส่วนประกอบของ RDX ที่จะเป็นอันตรายได้ และการทดสอบก็พบแรงของการยิงแก๊สน้ำตาทำให้เกิดหลุมกว้าง แต่พยานจำเลยระบุว่าแก๊สน้ำตาไม่เป็นอันตราย ซึ่งสาร RDX ที่ผสมในแก๊สน้ำตามีจำนวนน้อยเพื่อให้แก๊สน้ำตาเกิดการฟุ้งกระจาย โดยจะไม่เป็นอันตราย หากไม่ได้ผสมรวมกับสารเคมีอื่นอีก 3 ชนิดที่จะมีฤทธิ์คล้ายระเบิดซีโฟร์ ส่วนที่การทดสอบเกิดหลุดกว้าง เนื่องจากก่อนการทดสอบฝนตกทำให้ดินนิ่ม
แม้เหตุการณ์จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ศาลเห็นว่าในสถานการณ์เช่นนั้นเป็นการยากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะรู้ว่าแก๊สน้ำตามจะเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต โดยเมื่อเหตุการณ์ชุมนุมยังไม่สงบ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติเพื่อรักษาความสงบไม่ให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของทางราชการ และขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1, จำเลยที่ 3 และ จำเลยที่ 4 ก็ไม่อาจอนุมานได้ว่าแก๊สน้ำตาจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ชุมนุมได้ ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำร้ายผู้ชุมนุมให้ได้รับอันตรายแก่กายและเสียชีวิต ดังนั้น นายสมชาย จำเลยที่ 1 และพล.ต.อ.พัชรวาท จำเลยที่ 3 ไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และพล.ต.ท.สุชาติ จำเลยที่ 4 ไม่มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
องค์คณะฯ จึงพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1-4
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษาผู้ที่มาให้กำลังใจได้เดินเข้ามาจับมือแสดงความยินดีกับจำเลยทั้งสี่ ขณะที่บริเวณด้านหน้าศาลฎีกาฯ มีกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนมากร้องตะโกน ฆาตกรๆ ทำให้นายสมชาย และจำเลยอื่นไม่สามารถเดินทางกลับได้ ต้องเดินขึ้นชั้น 2 ของอาคารศาลฎีกาฯ เพื่อเดินทางกลับ อย่างไรก็ดี สำหรับคำพิพากษากลางฉบับเต็ม ทางศาลฎีกาฯ จะนำเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซค์หลังจากนี้ประมาณ 3 สัปดาห์ พร้อมทยอยเผยแพร่คำวินิจฉัยส่วนตนของผู้พิพากษาแต่ละคนต่อไป







