'หนี้บจ.'พุ่งอันดับ 2อาเซียน

อัตราหนี้สินต่อทุนบริษัทจดทะเบียนไทยพุ่ง 1.28 เท่า สูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน ตลาดย้ำยังไม่ใช่สัญญาณวิกฤติสามารถบริหารจัดการได้ แต่ต้องรักษาระดับอย่าเกิน 2เท่าเพราะเป็นจุดเสี่ยงสำคัญ

จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า บริษัทจดทะเบียนมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ในไตรมาส 1 ปี 2560 อยู่ที่ 1.28 เท่า เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 4 ปี2559 อยู่ที่ 1.08 เท่า ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นดังกล่าวทำให้บริษัทจดทะเบียนไทยมีหนี้สินต่อทุนสูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากบริษัทจดทะเบียนในประเทศ ฟิลิปปินส์ มีอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.50 เท่า เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2559 อยู่ที่ 1.40เท่า

ส่วนบริษัทจดทะเบียนในประเทศอินโดนีเซีย มีอัตราหนี้สินต่อทุนที่ 1.12 เท่า เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 4 ปี2559 ที่ 1.19 เท่า และ บริษัทจดทะเบียนในประเทศมาเลเซีย อยู่ที่ 1.01 เท่า จากก่อนหน้าที่ 0.98 เท่า ส่วนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ มีอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.82 เท่า ลดลงจากก่อนหน้าที่ 1.08 เท่า

นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ระดับหนี้สินต่อทุนของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย

แม้ว่าที่เพิ่มขึ้นแต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งยังไม่น่าเป็นตัวเลขที่น่ากังวลที่จะเป็นตัวสะท้อนถึงปัญหาทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนไทย

“ระดับอัตราหนี้สินต่อทุนของบริษัทจดทะเบียนไทยปรับเพิ่มขึ้นก็จริง แต่หากพิจารณาดีๆจะพบว่ายังอยู่ในระดับที่ต่ำเพียง 1.28 เท่า ซึ่งระดับดังกล่าวยังสามารถบริหารจัดการได้ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์มองว่า การเพิ่มขึ้นในจุดนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าวิตก และไม่ใช่สัญญาณของวิกฤติเศรษฐกิจเหมือนกับในอดีต แต่จุดที่น่ากังวลอยู่ที่ระดับ 2เท่า”

นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ ประเมินว่าหนี้สินที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นนั้นมาจากความต้องการเงินทุนเพื่อขยายกิจการ แม้ว่าปัจจุบันการออกตั๋วกู้เงินระยะสั้นอาจทำได้ยาก แต่สถาบันการเงินก็สามารถรองรับการปล่อยสินเชื่อได้ และก็มีความเข้มแข็งมากพอที่จะรองรับสถานการณ์ได้

ขณะที่นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ เปิดเผยว่า ภาพรวมของหนี้ในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ช่วงครึ่งปีแรก ยังรักษาระดับหนี้สินต่อทุนได้ที่ 1.0 เท่า ซึ่งยังไม่เห็นสัญญาณที่น่ากังวล

ส่วนการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียน ในเอ็มเอไอ เริ่มเห็นสัญญาณของการเพิ่มทุนมากขึ้น โดยขณะนี้มีการระดมทุนแล้ว 9,000 ล้านบาท จากปี 2559 บริษัทเพิ่มทุนจำนวน 6,000 ล้านบาท ส่วนการออกหุ้นกู้จากต้นปีอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่มีการออกหุ้นกู้ 17,000 ล้านบาท ซึ่งการเพิ่มทุนก็ยังเป็นเรื่องการขยายธุรกิจเป็นหลัก และบริษัทก็ยังรักษายอดขาย และควบคุมการผลิตได้ดี

“ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร ซึ่งต้องรอดูผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ก่อนว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนจะอยู่ที่เท่าไหร่ ทั้งนี้ภาพรวมของบริษัทจดทะเบียนในเอ็มเอไอยังมีทิศทางที่ดี ยังสามารถรักษายอดขายไว้ได้ และควบคุมต้นทุนได้เหมาะสม” ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ กล่าว