SCC - ซื้อ

SCC - ซื้อ

ปันผลเด่น เล่นได้เรื่อยๆ

ประเด็นการลงทุน

หลังจากประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ เรายังคงมีมุมมองเดิมต่อแนวโน้มกำไรของ SCC โดยการเติบโตของธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะค่อนข้างน้อย แต่จะเป็นตัวจักรสำคัญที่สร้างกระแสเงินสดต่อเนื่อง ในขณะที่กำไรของธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างน่าจะทำจุดต่ำสุดในไตรมาส 3/60 และจะเริ่มกลับมาเติบโตตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป จากกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและ
โอกาสในการปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลให้สูงขึ้นจากปัจจุบันที่อยู่ที่ 40% เราเชื่อว่า SCC เหมาะสำหรับการลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล โดยปัจจุบันให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 4% เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2560 ที่ 620 บาท

กำไรไตรมาส2/60 ต่ำกว่าที่เราคาดจากการขาดทุนจากสินค้าคงคลัง

SCC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส2/60 อยู่ที่ 1.32 หมื่นล้านบาท ลดลง 17% YoY และ 24% QoQ ซึ่งต่ำกว่าที่เราคาด 8% เนื่องจากกำไรธุรกิจปิโตรเคมีที่ต่ำกว่าคาด (ส่วนใหญ่มาจากการขาดทุนจากสินค้าคงคลัง) กำไรปกติอยู่ที่ 1.51 หมื่นล้านบาท ลดลง 7% YoY แต่เพิ่มขึ้น 3.5% QoQ ซึ่งดีกว่าที่เราคาดเล็กน้อยเนื่องจากราคาซิเมนต์ที่สูงกว่าคาด กำไรหลักที่ปรับตัวลดลง YoY มาจากการลดลงของกำ ไรของธุรกิจซิเมนต์และวัสดุก่อสร้างอัน เนื่องมาจากผลประกอบการของธุรกิจในประเทศที่อ่อนตัวลงและค่าเสื่อมราคาจากโรงงานซีเมนต์แห่งใหม่ในประเทศเพื่อนบ้าน กำไรหลักของธุรกิจปิโตรเคมีและบรรจุภัณฑ์ยังคงทรงตัว YoY ดูรายละเอียดในรูปประกอบ 2

อุปสงค์ซิเมนต์ยังคงอ่อนตัว

ความต้องการใช้ซีเมนต์ในประเทศปรับตัวลดลง 7% YoY ในไตรมาส 2/60 โดยความต้องการจากกลุ่มที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ ซึ่งคิดเป็น 50% และ 15% ของอุปสงค์ในประเทศตามลำดับ ปรับตัวลดลง 9% YoY ในไตรมาส 2/60 ในขณะที่อุปสงค์จากภาครัฐปรับตัวลดลง 3% YoY เนื่องจากมีฐานสูงจากกองทุนหมู่บ้านเมื่อปีที่แล้ว เราคาดว่าอุปสงค์จากภาครัฐจะกลับมาเติบโตอีกครั้งในครึ่งหลังปี 2560 หนุนโดยการก่อสร้างโครงการสาธาณูปโภคขนาดใหญ่ต่างๆที่จะเริ่มขึ้นในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตามเราไม่คิดว่าความต้องการใช้ซีเมนต์จากภาครัฐจะขยายตัวมากพอที่จะหนุนอุปสงค์ซิเมนต์ในประเทศกลับมาเติบโตได้ในครึ่งหลังปี 2560 เนื่องจากอุปสงค์จากกลุ่มที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

กำไรธุรกิจเคมีอาจสูงกว่าคาดในครึ่งหลังปี 2560

ผู้บริหารมีมุมมองเชิงบวกต่อส่วนต่างราคาโอเลฟินส์ในครึ่งหลังปี 2560 โดยคาดว่าส่วนต่างดังกล่าวจะมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากอุปสงค์จากประเทศจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากจากปัจจัยทางฤดูกาลและความล่าช้าของอุปทานใหม่ หากเป็นไปตามที่ผู้บริหารคาดการณ์ กำไรของธุรกิจปิโตรเคมีของ SCC ในครึ่งหลังปี 2560 จะเติบโตได้ทั้ง YoY และ HoH ซึ่งจะสูงกว่าที่เราประมาณการที่คาดไว้ว่าจะทรงตัว YoY และหดตัว HoH

คาดจะเห็นกำไรปรับตัวอย่างก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นหลังปี 2565

โครงการปิโตรเคมี Long Son Petrochemicals (LSP) ซึ่งมีกำลังการผลิตโอเลฟินส์ที่ 1.6 ล้านตันน่าจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในระยะยาว เนื่องจากจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตต้นน้ำของ SCC อีก 55% โดยโครงการจะเริ่มก่อสร้างในต้นปี 2561 และเริ่มดำเนินการผลิตได้ในไตรมาส 2/65 ทั้งนี้อาจมีความเสี่ยงจากการล่าช้า แต่ผู้บริหารมั่นใจว่าความเสี่ยงดังกล่าว สามารถควบคุมและลดความเสี่ยงได้ เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ถึง 71%ในโครงการ LSP