ปิดตำนาน ‘3เค แบตเตอรี่’

ปิดตำนาน ‘3เค แบตเตอรี่’

ปิดตำนาน "3เค แบตเตอรี่" หุ้นใหญ่ถอดใจ ธุรกิจแข่งเดือด

การเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ยิ่งใน “แวดวงธุรกิจ” ด้วยแล้วถือว่าเป็นเรื่องปกติ แม้ธุรกิจนั้นจะสร้างมาด้วยมือหรือเป็นธุรกิจของครอบครัวก็ตาม ยิ่งถ้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นด้วยแล้วถือว่า “ง่าย” ในการ “เปลี่ยนมือ” แต่ราคาในการจ่ายเพื่อเปลี่ยนแปลงความเป็นเจ้าของยิ่งมีมูลค่าสูงขึ้นตามไปด้วย

เงื่อนไขการ “ถอนตัว” จากธุรกิจที่ตัวเองก่อร่างสร้างขึ้นมา มีหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าธุรกิจไปไม่รอด ทำไม่ไหว ไม่มีทายาทรุ่นใหม่เข้ามารับช่วงต่อ หรือต้องการพันธมิตรเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง

บริษัท ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ BAT-3K ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่สัญชาติไทยมา 30 ปี เป็นเจ้าตำรับสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งกับกีฬา มวยไทยกับแบตเตอรี่ 3K จนมีชื่อเสียงคุ้นหูคนไทยมายาวนาน ต้องยอมจำนนหนึ่งในปัจจัยเผชิญการแข่งขันรุนแรงช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยการขายหุ้นของครอบครัวให้กับทุนญี่ปุ่นในที่สุด

การประกาศที่เกิดขึ้น คือ การขายหุ้นในกลุ่มครอบครัว "ขอไพบูลย์" ซึ่งถือหุ้น BAT-3K รวมกัน 8,780,730 หุ้น หรือคิดเป็น 43.9 % ในราคาหุ้นละ 275 บาท เป็นมูลค่าร่วม 2,414 ล้านบาท ให้กับบริษัท สยามมากิ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ฮิตาชิเคมิคอล จำกัด

ผู้ก่อตั้งธุรกิจในรุ่นที่หนึ่ง “กวี ขอไพบูลย์” เคยเกริ่นถึงภาวะการแข่งขันในธุรกิจรุนแรงขึ้น และได้ส่งผลกระทบต่อบริษัท โดยเฉพาะต้นทุนการทำธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นมีผลกระทบต่อฐานการเงินของบริษัท ช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากตัวเลขกำไรปรับตัวลดลง แม้บริษัทจะเห็นสัญญาณดังกล่าวและพยายามลดต้นทุนให้ได้และชดเชยเพิ่มยอดขายก็ตาม

หรือแม้แต่เจเนอเรชั่นที่ 2 ที่เข้ารับไม้ต่อแล้ว  “วีรวัฒน์ ขอไพบูลย์” ลูกชายคนโต ของครอบครัวก็ต้องปรับสูตรการทำธุรกิจ เพราะนอกจากจะเจอกับคู่แข่งที่มุ่งจับตลาดโรงงานประกอบรถยนต์ (original equipment market: OEM) ซึ่งจึงมักใช้แบตเตอรี่สัญชาติเดียวกัน ทำให้ยากในการชิงส่วนแบ่งการตลาด

รวมทั้งยังเจอผู้เล่นรายใหม่เข้ามาอีก ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ทำให้ต้องหันไปเพิ่มตลาดต่างประเทศ

จากข้อมูลบริษัทรักษาการเติบโตของยอดขายและรายได้ไว้ได้ แต่เมื่อดูกำไร จะเห็นการปรับตัวลงต่อเนื่อง จนไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทขาดทุน 12.98 ล้านบาท ท่ามกลางต้นทุนการนำเข้าสารตะกั่ว ที่มีราคาผันผวนค่อนข้างมาก จากประเทศจีน หรือไม่ก็ประเทศ ออสเตรเลีย

ขณะเดียวกันบริษัทยังประกอบธุรกิจทั้งต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่โรงงานหลอมตะกั่ว นำมาผลิตแบตเตอรี่ และจัดหน่ายผ่านตัวแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งต้นทุนในโรงงานถือว่าสูงเพราะต้องนำเข้าสารตะกั่วบริสุทธิ์จากต่างประเทศเข้ามา

ด้านการจัดจำหน่ายก็น่าหนักใจไม่น้อย เพราะฐานลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ที่กลุ่มผู้ประกอบการรถยนต์ในไทย แม้ว่าจะมีการสั่งซื้อขายผ่านการประมูลก็ตาม แต่เป็นที่รู้กันในกลุ่มอุตสาหกรรม ว่าผู้ผลิตรถยนต์ต่างใช้ฐานผู้ผลิตที่มีญี่ปุ่นเข้าไปร่วมลงทุนแทบจะ 100 %

เมื่อหันมามอง BAT-3K เป็นผู้ประกอบการไทยไม่มีทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนเลย และยังต้องไปแข่งขันกับพานาโซนิค ฮิตาชิ ยัวร์ซ่า ฟูรูกาวา แต่ละเจ้าล้วนแต่เป็นพันธมิตรกับกลุ่มฐานลูกค้าผู้ประกอบรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น แทบทั้งสิ้น

ภาวะการเติบโตกลุ่มรถยนต์ที่ติดลบมาหลายปี ก็เป็นตัวเร่งทำให้ธุรกิจนี้ยากยิ่งขึ้นไปอีก กลุ่มรถยนต์นั่ง ตั้งแต่ปี 2555 สภาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย รายการปรับตัวลง ค่อนข้างรุนแรง ปี 2555 โต 63 % ปี 2556-2559 แทบไม่โตและบางปีติดลบด้วยซ้ำ ที่ 0.14 % ,-23.49 %, 1.76 % และ 1.64 % ตามลำดับ

คาดการณ์ในแวดวงการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ มองว่า หลังจากกลุ่มใหม่เข้ามีการซื้อขายกัน วันที่ 25 ก.ค.นี้ จากนั้นมีการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ที่ราคา 275 บาทแล้ว อาจจะนำหุ้นถอดถอนออกจากตลาดหุ้นไทยไปเลย หากเป็นจริงนักลงทุนควร “ขายหุ้น” ลดความเสี่ยง

ส่วนราคาหุ้นที่ขึ้นมาก่อนหน้านั้นมีการเปลี่ยนแปลงปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรง ที่ 180 บาท (29 มิ.ย) ราคาทะลุ 200 บาท จนมาปิดราคาที่ 271 บาท ทำราคาสูงสุดที่ 273 บาท (21 ก.ค.) อาจจะเป็นการเก็งกำไรก่อนประกาศทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ ก่อนจะปิดตำนาน 3K แบตเตอรี่ ที่ต้องยอมถอดใจไปต่อไปไหวอีกหนึ่งธุรกิจ ของไทย