ต่างชาติปั่นวอลุ่มแตะ 3.5ล้านล้าน

ต่างชาติปั่นวอลุ่มแตะ 3.5ล้านล้าน

ต่างชาติเก็งกำไรหุ้นไทยครึ่งปีวอลุ่มพุ่ง 20% แตะ 3.5 ล้านล้านบาท ขณะที่ 7เดือนต่างชาติซื้อสะสมเพียง 1.8หมื่นล้าน โบรกหวังกำไร บจ.ฟื้นดึงเงินลงทุนระยะยาวเพิ่ม

ช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบันตลาดหุ้นไทยดูเหมือนกลายเป็นตลาดเก็งกำไรระยะสั้นสำหรับนักลงทุนต่างชาติ โดยเป็นการโยกเงินเปลี่ยนกลุ่มเล่นจากเม็ดเงินเดิมที่อยู่ในตลาดหุ้นอยู่แล้วเพื่อทำกำไรระหว่างทาง โดยไม่มีเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้ามาเพิ่ม

นายพรเทพ ชูพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จํากัด (SCBS) เปิดเผยว่า สาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติเลือกที่จะซื้อขายเก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากตลาดหุ้นไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุน โดยช่วงครึ่งปีแรกตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเพียง 2 % เท่านั้น ถ้าเทียบกับปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนถึง 20 % ดังนั้นนักลงทุนต่างชาติจึงหันไปลงทุนในตลาดหุ้นอินโดนีเซียหรือฟิลิปปินส์ ที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าไทย โดยจากข้อมูลตั้งแต่ต้นปีจนถึง 19 ก.ค. 60 พบว่านักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิเพียง 18,496 ล้านบาทเท่านั้น

“สิ่งที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายระยะสั้นของต่างชาติในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา คือ มูลค่าการซื้อขายรวมของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นมาที่ 3.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20 % จากเกือบ 3 ล้านล้านบาท” นายพรเทพ กล่าว 

สอดคล้องกับนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า ช่วงต้นปีที่ผ่านมาต่างชาติสนใจหุ้นไทยน้อยและกำไรบริษัทจดทะเบียนก็โตไม่สูงมากเทียบกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ จึงทำให้เงินทุนไหลไปยังประเทศที่มีการเติบโตมากกว่า    

สำหรับทิศทางหุ้นครึ่งปีหลัง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไทยพาณิชย์ มองว่า มีโอกาสที่เงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น จากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่ากำไรจะขยายตัวประมาณ 8- 9 % จากปีก่อน ขณะที่ พีอี อยู่ที่ 14.3 เท่า โดยคาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะอยู่ที่ 1,700 จุด

ส่วนปัจจัยต่างประเทศแม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะเริ่มปรับลดวงเงินซื้อสินทรัพย์ ซึ่งอาจจะตัวแปรกดดันเงินไหลออกจากภูมิภาค แต่คาดว่าไทย อาจจะไม่ได้ผลกระทบจากเงินไหลออก 

โดยจากข้อมูลการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ จะเห็นว่าในช่วงปี 2556-2558 ต่างชาติขายออกขายติดต่อกัน 3ปี มูลค่าเกือบ 4 แสนล้านบาท และเริ่มกลับเข้ามาซื้อในปีที่แล้ว ต่อเนื่องถึงครึ่งปีแรกของปีนี้มูลค่าถึงไม่ 1แสนล้านบาท