เชฟสายหวาน ... อนุพงษ์ นวลฉวี
“อารมณ์ดี ทำอะไรก็ออกมาดี”
เติมพลังงานบวกในวันหยุด ด้วยเรื่องราวของเชฟหนุ่มสายหวาน อนุพงษ์ นวลฉวี ผู้มีฝันว่าอยากจะเป็น Sky Chef เชฟปรุงอาหารบนเครื่องบินในวันวาน วันนี้ฝันของเขาก้าวไปไกลกว่านั้น ไม่เพียงแต่เป็นเอ็กเซคคูทีฟ เพสตรีเชฟ (Executive Pastry Chef)โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน ด้วยวัยเพียง 32 แล้ว เขายังได้รับการคัดเลือกจากนิตยสารคลีโอให้เป็น 1 ใน 50 หนุ่มโสดในฝัน ประจำปี 2015
ล่าสุดเพิ่งคว้ารางวัล Eat List Star Winner 2017 ที่สิงคโปร์ โดยเอาชนะผู้เข้าแข่งขันกว่า 200 คนจากทั่วโลก
มาทำความรู้จักกับเชฟหนุ่มในฝันบนเส้นทางสายหวานพร้อมชา กาแฟสักถ้วย เชื่อว่าจะเพิ่มอรรถรสได้ยิ่งขึ้น
จุดเริ่มต้นบนเส้นทางสายอาหาร
จากความใฝ่ฝันตอนเป็นเด็กว่าอยากจะเป็นเชฟบนเครื่องบิน ทำให้ อนุพงษ์ หรือ เชฟเอ๋ เดินหน้าตามฝันด้วยการเข้าเรียนที่คณะอุตสาหกรรมการบริการ สาขาวิชาการจัดการครัวและภัตตาคาร วิทยาลัยดุสิตธานี
“ตอนเรียนยังไม่รู้หรอกว่าจะเป็นเชฟอาหาร หรือขนมหวาน ผมมีความใฝ่ฝันเป็นสกายเชฟ เป็นเชฟบนเครื่องบิน เห็นในแมกกาซีนแล้วเป็นแรงบันดาลใจให้อยากไปอยู่จุดนั้น คงจะสุดยอดมากเลย
พอผมเข้ามาเรียนทำอาหาร เรียนหมด ทั้งอาหารเวสเทิร์น เอเชีย อาหารไทย และขนมหวาน ตอนเรียนขนมหวานผมรู้สึกว่า เวลาที่ผมแต่งจานออกมาทุกคน “ว๊าว” ผมเล่นสีเป็น แม็ตช์สีได้ เส้นสายที่ผมทำ ผมสามารถวาดได้ ผมเลยเลือกมาทางนี้”
เชฟเอ๋อธิบายต่อว่า “ในเรื่องของขนมหวาน เราจะเห็นว่าประกอบไปด้วยสี เวลาเรากินขนมเรามองก่อน เมื่อเราเห็นแล้วน่าทานเราถึงอยากจะใช้ช้อนตัก อันนี้เป็นจุดแรกที่ผมคิดว่าเวลาเราทำขนมที่มีสีสันออกมา เหมือนเราทำงานศิลปะ มานำเสนอ”
ทำขนมหวานต้องเป๊ะ
นอกจากมีศิลปะแล้ว เชฟขนมหวานต้องมีความละเอียด ถี่ถ้วน แม่นยำ และมีสมาธิ
“ยิ่งเรียนยิ่งเหมือนเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะว่าต้องเข้าใจว่าอะไรที่เราใส่ลงไปแล้ว เมื่อเข้าไปอยู่ในเตาแล้วเราไม่สามารถแก้ไขรสได้ สมมติว่าเราลืมใส่ผงฟูขนมจะไม่ฟูขึ้นมา เวลาที่เราตีส่วนผสมถ้าตีไม่พอมันก็ไม่ฟูได้ตามที่เราต้องการ
ขนมหวานจึงเป็นวิทยาศาสตร์ ส่วนผสม อุณหภูมิ ทุกอย่างมีผลต่อขนมหมด ขนมหวานต้องค่อนข้างเป๊ะนิดหนึ่งสำหรับ เวลาเราทำขนมเราต้องมีสมาธิ โฟกัสอยู่กับมัน
สำหรับผมการทำขนมจึงเหมือนกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ได้ทดลองสิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา”
เป็นเชฟต้องหมั่นหาความรู้ใหม่ๆ
“ตอนแรกที่ผมเริ่มต้นเดินทางสายอาหาร ผมมองว่ายากนะกว่าที่เราจะถึงจุดที่เป็น Executive Chef ได้ บางช่วงเรารู้สึกว่าเราทำไปเรื่อยๆนะ แต่เมื่อไหร่ล่ะที่เราจะโตขึ้น เมื่อไหร่เราจะได้มีประสบการณ์มากขึ้น
ผมชอบอ่านหนังสือ ผมชอบหาข้อมูลใหม่ๆ ผมชอบดูยูทูป เวลาที่เราติดตามงานเชฟที่เราชอบ เราจะคอยดูว่าเขามีอะไรใหม่ๆออกมา ถ้าเราไม่ตามเราจะหลุดเทรนด์เหมือนกัน เพราะว่าเทรนด์มันมาเรื่อยๆ สังเกตดูปีที่แล้ว เทรนด์จะเป็นเอแคลร์ค่อนข้างมาก ปีนี้ก็เปลี่ยนไปเพราะเทรนด์ไม่เคยหยุดนิ่ง”
แม้ว่าปีนี้เทรนด์ของขนมยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ในความรู้สึกของเชฟเอ๋ แต่สไตล์ในการตกแต่งขนมนั้นมีการนำสีสันมาเล่นกันค่อนข้างมาก
“นอกจากนี้ การจัดวางจะเล่นอยู่ในถ้วย คืออยู่ในภาชนะเดียว อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราตามเทรนด์แบบไหนด้วย ตัวผมชอบเชฟChristophe Michalak สไตล์ของเขาจะเป็นขนมที่ใส่มาในขวดโหล หรือ ไม่ก็เป็นเกลซราดหน้าแล้วเงาๆ หรือเป็นโชว์พีซ จัดโชว์วางบนหน้าขนม
เราดูเป็นแรงบันดาลใจ สำหรับผมการตกแต่งหน้าขนมเหมือนการได้จัดสวน เวลาที่เราใส่element เล็กๆแล้วนำมาประกอบกัน ออกมาเป็นสวนสวยๆ มันเหมือนกับเป็นสิ่งที่สุดยอดสำหรับเรานะ”
การเป็นเชฟในยุคโซเชี่ยลมีเดีย
ในยุคที่ใครๆก็สามารถมีสร้างสื่อเป็นของตัวเองได้ เฟซบุ๊คและไอจี จัดเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการประชาสัมพันธ์ผลงาน เชฟเอ๋บอกว่าต้องมีการบริหารจัดการที่ดี ไม่ว่าจะเป็น IG : alps1984 หรือ FB: Anupong Nualchawee
“การสร้างชื่อเสียงมันยากนะครับ ผมพยามยามพัฒนาอินสตราแกรม สร้างสื่อของตัวเอง อย่างแรกโปรดักท์เราต้องดี โฆษณาไปเยอะแต่โปรดักท์ไม่ดีก็ไม่ใช่ ถ้าโปรดักท์เราดี เราประชาสัมพันธ์คนมากินแล้วดีก็โอเค ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
หลังจากที่ได้เป็นหนุ่มคลีโอก็เป็นที่รู้จักในคนอีกกลุ่มหนึ่ง มีคนฟอลโล่ไอจีมากขึ้น ตามมาชิมอาหารเยอะขึ้น มีหลายคนที่ไม่ชอบทานขนมแต่ก็อยากมาลอง อยากมาชิม อย่างน้อยก็มาถ่ายรูปขนมของเรา
ตัวเราเองก็ต้องสร้างแสตนดาร์ดให้ตัวเรา ต่อให้น้องๆทีมงานเป็นคนทำตามที่เราแนะนำ เราก็ต้องปลูกฝังเขาว่าผลงานที่ออกมาไม่ได้เป็นหน้าเป็นตาของเราอย่างเดียวเป็นหน้าเป็นตาของโรงแรมด้วย ฉะนั้นทุกอย่างที่ออกไปจะต้องดูดี”
ความสุขของเชฟเอ๋
เรียบง่ายมาก “ ความสุขของผมอยู่ตรงที่คนทานขนมแล้วแฮปปี้ครับ ผมอยากได้ยินเสียงตอบกลับจากคนทีทานมากกว่าว่ารู้สึกอย่าไร เมื่อไหร่ที่คนทานชอบขนมของเรา เราก็แฮปปี้แล้ว”
เราถามต่อว่าวันนี้เดินทางมาถึงสุดทางฝันแล้วหรือยัง เชฟเอ๋บอกว่า
“ผมเป็นคนที่สร้างเป้าหมายให้กับตัวเอง ตั้งไว้ว่าก่อนอายุ 30 จะต้องเป็น เพสตรีเชฟ ให้ได้ ก่อน 35 จะต้องได้เป็นเอ็กเซคคูทีฟ เพรสตรี
ตอนนี้ผมอายุ 32 ได้เป็นเพสตรีเชฟตอน 29 ได้เป็นเอ็กเซคคูทีฟ เพสตรีเชฟตอน 32 พยายามสร้างเป้าหมายของเราเอาไว้ อายุ 40 ต้องมีร้านของตัวเอง ตอนนี้แผนของผมอยู่ระหว่างการจะมีร้านหรือมีโรงเรียนดี ผมชอบสอนทำขนมเลยอยากมีโรงเรียนสอนทำขนม”
ติดตามกันต่อไปว่าระหว่างทางจะมีตัวแปรอะไรเกิดขึ้นระหว่างการเปิดร้านหรือเปิดโรงเรียน ก่อนจากกัน เชฟเอ๋ฝากถึงคนที่อยากเดินทางสายนี้ว่า
“อย่างแรกต้องมีใจรัก ถ้าทำมา 3-4 ปีแล้ว วันหนึ่งพบว่าเราเหนื่อยกับมัน เท่ากับว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นศูนย์ และยังต้องไปเริ่มต้นงานใหม่อีก ต้องถามตัวเองก่อนว่ารักมันหรือเปล่า เวลาเราทำงานเรายืนอยู่ในครัว 11-22 ชั่วโมงต่อวัน ถามว่างานหนักมั้ย? ผมตอบว่าถ้าเราแฮปปี้กับมันก็ไม่หนักนะ
เรายิ้มให้กับงาน เรามีความสุขกับงาน ทำออกมาแล้วมีความสุข ในครัวผมมีเสียงเพลงนะ เสียงเพลงทำให้อารมณ์ดี ทำอะไรออกมาก็ดูดี เวลาคิดงานไม่ออกเปิดเพลงแล้วมันจะออกมาเอง”
แวะไปสัมผัสรสชาติและสีสันของขนมที่ออกมาจากเชฟอารมณ์ดีได้ที่ เดอะ เบเกอรี่ และบุฟเฟ่ต์ของหวานที่ห้องอาหาร เดอะ เรนทรี คาเฟ่ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน