สำรวจทีมใช้ทุนน้อยแต่สอยแชมป์

สำรวจทีมใช้ทุนน้อยแต่สอยแชมป์

ตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนต่อเนื่องมาจนถึงเดือนกรกฏาคม อันเป็นช่วงการซื้อขายตลาดนักเตะในช่วงซัมเมอร์ ซึ่งความเคลื่อนไหวของบรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปก็ร้อนแรงไม่แพ้กับฤดูเช่นกัน

โดยเฉพาะทีมที่ต้องการสร้างความแข็งแกร่งเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นหนึ่งและประสบความสำร็จให้ได้ ก็กำลังทุ่มเงินอย่างไม่อั้น ชนิดถึงไหนถึงกัน

ระยะเวลาเพียงแค่เดือนเศษที่เข้าสู่ช่วงการซื้อขาย หลายทีมจ่ายเงินทะลุเกินหลัก 100 ล้านยูโร (ราว 3,800 ล้านบาท) เข้าไปแล้ว และทำท่าว่าจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้

แต่ในอดีตมีตัวอย่างกรณีศึกษาของหลายทีมในลีกชื่อดังของยุโรปที่ประสบความสำเร็จสามารถคว้าแชมป์โดยไม่ต้องทุ่มเงินมหาศาลแต่ประสบความสำเร็จเกินคาด

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (2010-11)

ทีมเสือเหลืองแห่งถิ่น ซิกนัล อิดูนา พาร์ค ภายใต้การนำทีมของเจอร์เกน คล็อปป์ เสริมทีมผู้เล่นด้วยกัน 7 คน แต่จ่ายเงินรวมเพียงแค่ 4.46 ล้านยูโร (ราว 170 ล้านบาท) เป็นค่าตัวของโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี กองหน้าจาก เลช พอซนาน ด้วยค่าตัว 4.04 ล้านยูโร (ราว 168 ล้านบาท) และมิทเชล แลงเกอแรค นายทวารดาวรุ่งจากเมลเบิร์น วิคตอรี่ 4.23 แสนยูโร (ราว 160 ล้านบาท) ที่เหลืออีก 5 คนนั้นได้มาฟรีๆทั้งหมด

โดยดาวเด่นที่โชว์ผลงานได้อย่างเกินคาดคือ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี และ ชินจิ คากาวะ ดาวเตะชาวญี่ปุ่นที่ดึงตัวมาจากเซเรโซ โอซากา ทั้งๆที่เป็นผู้เล่นที่ยังค่อนข้างโนเนมในลีกญี่ปุ่นเท่านั้น

ในฤดูกาลดังกล่าวดอร์ทมุนด์คว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีด้วยการเก็บ 75 คะแนน ทิ้งห่างอันดับสองคือ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน และ บาเยิร์น มิวนิค 7 และ 8 คะแนนตามลำดับ ก่อนที่จะมาตอกย้ำความสำเร็จอีกครั้ง ด้วยการคว้าถาดแชมป์บุนเดสลีกาอีกสมัยเป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน จากนักเตะแกนหลักชุดเดิมเป็นส่วนใหญ่

แอตเลติโก มาดริด (2013-14)

ดิเอโก ซิเมโอเน พาทีมตราหมีประสบความสำเร็จอย่างสูง สามารถกลับมาเป็นแชมป์ลา ลีกา ในรอบ 18 ปี ด้วยการทำไปถึง 90 คะแนน เอาชนะอันดับสองและสามอย่างบาร์เซโลนา และ เรอัล มาดริด ไป 3 คะแนน

โดยในฤดูกาลดังกล่าว แอต.มาดริดเสริมทีมไปด้วยผู้เล่น 7 คน คือ เลโอ บาปติสเตา จากราโย บาเยกาโน 7 ล้านยูโร ดาบิด บียา จากบาร์เซโลนา 5.1 ล้านยูโร (ราว 190 ล้านบาท) โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์ จากอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 7 ล้านยูโร(ราว 267 ล้านบาท) รวมถึง โจชัว กีลาโวกี จากแซงต์ เอเตียน 10 ล้านยูโร (ราว 380 ล้านบาท) ขณะที่ โฆเซ ฆิเมเนซ ไม่เปิดเผยค่าตัว และมาร์ติน เดมิเคลิส ได้มาฟรีจากมาลากา เบ็ดเสร็จแล้วใช้เงิน 29.1 ล้านยูโร (ราว 1,100 ล้านบาท) เท่านั้น และที่สำคัญยังมีเงินจากการขาย ราดาเมล ฟัลเกา ไปโมนาโก และ มาร์ติน เดมิเคลิส ที่ปล่อยตัวไปแมนฯซิตี รวมแล้ว 65 ล้านยูโร (ราว 2,500 ล้านบาท) เท่ากับว่าฤดูกาลดังกล่าวแอต.มาดริด มีส่วนต่างกำไรจากการซื้อขายผู้เล่นมากกว่า 30 ล้านยูโร (ราว 1,145 ล้านบาท)

ส่วนทีมคู่แข่งอย่างบาร์เซโลน่าและเรอัล มาดริดในฤดูกาลเดียวกันนั้นต่างทุ่มเงินอย่างมโหฬาร โดยทีมราชันชุดขาวจ่ายเงินกว่า 90 ล้านยูโร (ราว 3,400 ล้านบาท) เป็นสถิติโลกเพื่อคว้าตัว แกเร็ธ เบล ส่วนบาร์เซโลนาก็ไม่น้อยหน้าด้วยการซื้อ เนย์มาร์ ไปราว 60 ล้านยูโร (ราว 2,300 ล้านบาท)

โมนาโก (2016-17)

ลีกเอิง เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาแชมป์นั้นเปลี่ยนมือจนได้ หลังจากที่ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ครองแชมป์ติดต่อกันมานานถึง 4 สมัยติดต่อกัน โดยลูกทีมของเลโอนาร์โด้ ชาร์ดิม เก็บได้ถึง 95 แต้ม ทิ้งเปแอสเช ที่ทุ่มเงินเสริมทีมในฤดูที่ผ่านมามากกว่าร้อยล้านยูโร ถึง 8 คะแนน

ซึ่งพวกหน้าใหม่ของโมนาโกในฤดูกาลที่แล้วส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นที่ปล่อยตัวให้ทีมอื่นไปใช้งานแล้วดึงกลับมา ที่จ่ายเงินซื้อจริงๆมีเพียงแค่ 5 คนเท่านั้น คือ คามิล กลิค จากโตริโน 11 ล้านยูโร (ราว 420 ล้านบาท) ฌิบริล ซิดิเบ้ จากลีลล์ 15 ล้านยุูโร (ราว 570 ล้านบาท) เบนจามิน เมนดี จาก มาร์กเซย 13 ล้านยูโร (ราว 490 ล้านบาท) จอร์จ จาก ฟลาเมงโก 8.5 ล้านยูโร (ราว 320 ล้านบาท) ยูสเซฟ อิท เบนาสเซอร์ จาก น็องซี่ 3 ล้านยูโร (ราว 114 ล้านบาท) เบ็ดเสร็จใช้เงินไปราว 51 ล้านยูโร (ราว 1,950 ล้านบาท) น้อยกว่าเปแอสเช เป็นเท่าตัว

เลสเตอร์ ซิตี (2015-16)

สำหรับ เลสเตอร์ ซิตี้ น่าจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดสำหรับทีมที่ไม่ต้องใช้งบประมาณมากแต่คว้าแชมป์ได้ โดยเลสเตอร์ประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร ในลีกที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนจากการซื้อขายมากที่สุดในโลก อีกทั้งรายล้อมไปด้วยทีมระดับเศรษฐีและอภิมหาเศรษฐีนับสิบทีม

ทีมสุนัขจิ้งจอกเสริมทีมด้วยผู้เล่นที่ถูกมองว่าเป็นระดับเกรดบีลงไปถึงซีด้วยซ้ำ โดยที่ควักเงินจ่ายมีด้วยกัน 7 คน ได้แก่ ชินจิ โอกาซากิ จาก ไมนซ์ 11 ล้านยูโร (ราว 420 ล้านบาท) โรเบิร์ต ฮูธ จาก สโตค ซิตี 4.2 ล้านยูโร (ราว 160 ล้นาบาท) เอ็นโกโล ก็องเต จากก็อง 9 ล้านยูโร (ราว 340 ล้านบาท) โกคาน อินแลร์ จากนาโปลี 7 ล้านยูโร (ราว 260 ล้านบาท) เดมาไร เกรย์ จาก เบอร์มิงแฮม ซิตี 5.1 ล้านยูโร(ราว 194 ล้านบาท) ดาเนียล อมาร์เตย์ จากโคเปนเฮเกน 6.6 ล้านยูโร(ราว 250 ล้านบาท) โยฮัน เบอนาลูอาน จากอตาลันตา 7 ล้านยูโร (ราว 267 ล้านบาท)รวมทั้งสิ้น 49.9 ล้านยูโร (ราว 1,905 ล้านบาท)

รวมกับขุมกำลังเดิมที่มีอยู่ทีมสุนัขจิ้งจอกก็ยังสามารถเป็นแชมป์ลีกสูงสุดได้ด้วยการมีคะแนน 81 คะแนนเหนือกว่าที่สองอย่างอาร์เซนอลถึง 10 คะแนนด้วยกัน

สำหรับในฤดูกาล 2017-18 ที่จะมาถึงนี้ จะมีทีมไหนสามารถทำเซอร์ไพรส์ได้แบบสี่ทีมข้างต้นบ้าง เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย