ททท.จัดทัพรับยุคมิลเลนเนียลส์บูม

ททท.จัดทัพรับยุคมิลเลนเนียลส์บูม

ปี 2561 จะเป็นอีกปีที่แนวทางการทำตลาดท่องเที่ยวต้องปรับตัวรับเทรนด์ใหม่ของโลก โดยเฉพาะการผันตัวรับยุค “มิลเลนเนียลส์” ที่จะกลายเป็นกลุ่มท่องเที่ยวกระแสหลัก แทนกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ ในระยะอันใกล้

ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า จากการนำแผนการตลาด ปี 2561 ของ ททท.เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ททท.ในวันเสาร์ที่ผ่านมา กำหนดเป้าหมายรายได้เติบโต 8% จากปี 2560 ที่คาดการณ์รายได้รวมไว้ 2.7 ล้านล้านบาท 

ทั้งนี้ ผลักดันผ่านการทำตลาด 3 แนวทาง ได้แก่ 1.การสร้างกระแสการใส่ใจสิ่งแวดล้อมเพื่อชะลอความเสื่อมโทรมของทรัพยากรด้านท่องเที่ยว 2.การสร้างสรรค์เนื้อหา (Content) เพื่อเพิ่มคุณค่าให้สินค้าท่องเที่ยวไทย และ 3.การขยายฐานตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ ด้วยการนำเสนอรูปแบบการท่องเที่ยวที่สัมผัส “Thai Local Experience” ผ่านแนวคิดด้านวิถีการกิน “สวรรค์นักกิน จากอาหารถิ่นถึงมิชลิน สตาร์” ให้สอดรับกับการที่ไทยจะมีโครงการมิชลิน ไกด์ แบงค็อก และเป็นเจ้าภาพ UNWTO World Forum on Gastronomy Tourism หรือการประชุมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอาหารโดยองค์กรการท่องเที่ยวแห่งสหประชาชาติโดยเฉพาะ

กิตติพงษ์ ประพัฒน์ทอง ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานลอสแองเจลิส กล่าวว่า จากการกำหนดเป้าหมายปี 2561 ภูมิภาคอเมริกาจะมีการเติบโตราว 14% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์สูงสุดเทียบกับทุกตลาด เนื่องจากประเมินเศรษฐกิจอเมริกากลับมาสู่ภาวะขาขึ้นแล้ว หลังเผชิญวิกฤตในรอบหลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับการติดตามนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังการเลือกตั้ง ไม่มีผลกระทบในเชิงลบ

นอกจากนั้น มีปัจจัยเสริม เช่น ค่าเงินดอลลาร์แข็งแรงมากขึ้น อัตราการว่างงานของประชากรในประเทศต่ำสุดในรอบ 6 ปี ขณะที่ตัวเลือกในการเดินทางของนักท่องเที่ยวมีความหลากหลายมากขึ้น จากการที่ ททท.ไปร่วมมือเป็นพันธมิตรการตลาดกับสายการบินอีวีเอ แอร์ ที่มีเที่ยวบินเชื่อมต่อจากหลายเมืองในอเมริการวมกว่า 92 เที่ยวบิน/สัปดาห์ โดยผ่านฮับที่กรุงไทเปสู่กรุงเทพฯ ยังไม่รวมกับสายการบินอื่นๆ ในเอเชียที่มีเที่ยวบินสู่อเมริกาเช่นกัน อาทิ ออลนิปปอน แอร์เวยส์, เอเชียน่า แอร์ไลน์ เป็นต้น

สำหรับแนวทางการตลาดที่มีการปรับเปลี่ยนและต้องจับตามองอย่างมากคือ การเปลี่ยนผ่านจากยุคเบบี้บูมเมอร์ ที่มีขนาดใหญ่สุดมาสู่ยุคของเจเนอเรชั่นวาย หรือ มิลเลนเนียลส์ ที่มีฐานประชากรกว่า 92 ล้านคนในอเมริกา ซึ่งกำลังจะแซงขึ้นมาเป็นอันดับ 1 เป็นผลทำให้ต้องปรับเปลี่ยนมิติในการทำตลาดให้เข้ากับพฤติกรรมมิลเลนเนียลส์ ที่ใช้ช่องทาง “ดิจิทัล” เข้าถึง และพัฒนาสินค้าแนวท่องเที่ยวชุมชนซึ่งมีกิจกรรมให้ทำ เช่น การปลูกข้าวกับชาวนา, เข้าร่วมกิจกรรมประเพณีท้องถิ่น เป็นต้น

“การทำตลาดต่อไป จะเห็นการจับกลุ่มเฉพาะที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากขึ้น เช่น ล่าสุด เตรียมร่วมมือบริษัท Contiki ที่มีเป้าหมายเฉพาะเจาะตลาดคนอายุ 18-35 ปีโดยเฉพาะ ซึ่งมีการออกแบบใช้ดนตรีร่วมในการทำการตลาด เพื่อชักจูงความสนใจของคนวัยนี้ โดยมองว่าตลาดนี้ไม่ควรละเลย เพราะนอกจากจะท่องเที่ยวสอดคล้องกับการส่งเสริมท่องเที่ยวชุมชนของไทยแล้ว ตลาดมิลเลนเนียลส์ยังใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย”

พร้อมกับมีแผนทำตลาดผ่านบุคคลที่มีชื่อเสียง ร่วมมือกับร้านอาหารจิตรลดา ในแอลเอ ซึ่งเป็นร้านไทยที่มีดาราดังฮอลลีวู้ดมารับประทานประจำ เช่น ไรอัน กอสลิ่ง เพื่อหาทางส่งเสริมอาหารถิ่นของไทย ให้สอดคล้องกับเป้าหมายยกระดับรายได้ด้วยอาหาร อันเป็นแผนหลักของปี 2561 ด้วย ขณะเดียวกัน จะหาแนวทางเข้าไปร่วมมือกับดิสนีย์ และพิกซาร์ ผู้ผลิตภาพยนตร์แอนิเมชั่น ดูแนวทางเป็นไปได้ว่าจะนำเสนอเรื่องท่องเที่ยวไทยสอดแทรกผ่านสื่อบันเทิงอย่างไร

สาริมา จินดามาตย์ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานฮ่องกง กล่าวว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ของฮ่องกงที่ต้องจับตามองคือ “คู่แต่งงาน” ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนกว่า 10% จากคู่แต่งงานกว่า 51,000 คู่ต่อปีที่นิยมไปจัดงานต่างประเทศ เหตุผลเพราะขั้นตอนการจดทะเบียนทางกฎหมายในฮ่องกง ต้องลงทะเบียนรอคิวเป็นเวลานาน, ค่าใช้จ่ายโรงแรมสูง และบางครั้งแตะระดับ 1 ล้านบาทต่องาน และมักต้องจองคิวยาวนานข้ามปี ดังนั้นจึงไม่สะดวกต่อพฤติกรรมนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่ต้องการประหยัดเวลาและจัดการพิธีการต่างๆ ให้เรียบร้อยรวดเร็ว

“ตลาดฮ่องกงเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพแน่นอน เงินเดือนเริ่มต้นของคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มการทำงานอยู่ที่ 6-7 หมื่นบาทขั้นต่ำ ดังนั้นคนที่มีกำลังซื้อส่วนหนึ่งที่คิดจะแต่งงาน เริ่มแสวงหาจุดหมายท่องเที่ยวที่ให้บรรยากาศเหมาะสม เช่น โอกินาว่า ของญี่ปุ่นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทะเลที่ได้รับความนิยมสูงมาก ดังนั้นหากไทยจะส่งเสริมตลาดนี้ เชื่อมั่นว่ามีศักยภาพในการเติบโตเช่นกัน หากนำเสนอแหล่งท่องเที่ยว อาทิ เกาะสมุย, ภูเก็ต กระบี่ เป็นต้น”

บังอรรัตน์ ชินะประยูร ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานปักกิ่ง กล่าวว่า เซกเมนต์ใหม่ที่ต้องจับตามองของตลาดจีน มุ่งเป้าไปที่คู่แต่งงานเช่นกัน ซึ่งรูปแบบการเดินทางจะเป็นกลุ่มย่อยครั้งละ 50-80 คน โดยแขกที่ร่วมงานจะพำนักเฉลี่ย 3-4 วัน แต่คู่บ่าวสาวและเครือญาติจะเดินทางมาเตรียมงาน และอยู่ฮันนีมูนต่อเนื่องมากกว่าสัปดาห์

“เทรนด์ใหม่ของการแต่งงาน ขับเคลื่อนโดยตลาดมิลเลนเนียลส์เป็นหลัก เพราะกำลังอยู่ในวัยของการสร้างครอบครัว ส่วนใหญ่เป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ของครอบครัวนักธุรกิจ มีประสบการณ์ไปศึกษาต่อต่างประเทศก่อนกลับมาทำงานในประเทศตัวเอง จึงเปิดรับทัศนคติและรสนิยมในการไปจัดงานต่างประเทศ”

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า การประเมินการเติบโตของตลาดจีนในปีนี้ ต้องระมัดระวังปัจจัยด้านการขยายตัวของตลาดชาวจีนเที่ยวต่างประเทศ (เอาท์บาวด์) ที่เติบโตราว 5% เท่านั้น ลดลงจากอดีตที่เคยเติบโตกว่า 10% เป็นผลจากเศรษฐกิจที่ชะลอการเติบโตมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว

ขณะเดียวกัน วางกลยุทธ์เชิงรุกในการจับตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (เมดิคัล ทัวริสซึ่ม) ซึ่งในพื้นที่ปักกิ่งและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีประชากรที่เดินทางออกไปรับบริการทางการแพทย์ต่างประเทศสูงถึง 5 แสนคนต่อปี ดังนั้น จึงมีโอกาสในการชิงส่วนแบ่งตลาดนี้ เนื่องจากมีบริการการส่งเสริมสุขภาพรองรับในทุกรูปแบบอยู่แล้ว