สภาทนายความมีมติเอกฉันท์ถอด “ทนายพิสิษฐ์” คดีน้องบีมออกจากทะเบียนทนายความ ขาดคุณสมบัติเป็นบุคคลล้มละลาย -เพื่อนติดต่อเจ้าตัวขอชี้แจง แต่ไม่ระบุวันเวลา
ที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ บางเขน เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 6 กรกฎาคม สำนักโฆษกสภาทนายความ ได้มีการประชุมคณะกรรมการบริการสภาทนายความเป็นวาระพิเศษเพื่อพิจารณากรณีคุณสมบัติของทนายความ นายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ อายุ 59 ปี โดยใช้เวลาประชุม 1 ชม. จึงเสร็จสิ้น
จากนั้น นายเสาวภักดิ์ สกุลโรมวิลาส อุปนายกช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย,นายพัฒนา จาติเกตุ อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษ, ว่าที่พันตรีสมบัติ วงศ์กำแหง อุปนายกฝ่ายบริหาร, นายพัสไนย ไชยแขวง อุปนายกฝ่ายต่างประเทศ/กรรมการประชาสัมพันธ์ ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังการประชุม
ว่าที่พันตรีสมบัติ กล่าวว่า ในที่ประชุมมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง จากการตรวจสอบราชกิจจานุเบกษา ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้นายพิสิษฐ์ เป็นบุคคลล้มละลาย อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติสภานายความ พ.ศ.2528 มาตรา 43 เมื่อความปรากฎแก่คณะกรรมการบริการสภาทนายความว่าทนายความคนใดที่ขาดคุณสมบัติการเป็นทนายความ ให้คณะกรรมการสภาทนายความจำหน่ายชื่อออกจากทะเบียนทนายความ
“ทั้งนี้เมื่อตรวจสอบคุณสมบัติของนายพิสิษฐ์ ถือว่าขาดคุณสมบัติตามมาตรา 35 (7) เพราะต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย คณะกรรมการจึงมีมติโดยเสียงข้างมาก เห็นชอบให้จำหน่ายชื่อนายพิสิษฐ์ ออกจากทะเบียนทนายความ และจะปรากฎในประวัติทะเบียนทนายความว่าเป็นมติของคณะกรรมการให้จำหน่ายชื่อเนื่องจากเป็นบุคคลล้มละลายตามคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด โดยให้มีผลหลังจากที่คณะกรรมการได้ลงมติแล้ว จะนำมติแจ้งไปที่นายทะเบียนทนายความ และทำหนังสือแจ้งถึงนายพิสิษฐ์ เมื่อแจ้งหนังสือคำสั่งไปแล้วก็ถือว่าหมดสิทธิ์การเป็นทนายความต่อไป หลังจากนี้หากแสดงตนเป็นทนายความก็จะมีโทษตามพระราชบัญญติทนายความ”ว่าที่พันตรีสมบัติ กล่าว
ว่าที่พันตรีสมบัติ กล่าวอีกว่า แม้วันนี้จะจำหน่ายชื่อนายพิสิษฐ์ ออกจากทะเบียนทนายความ แต่การกระทำใดที่นายพิสิษฐ์ ทำไม่ถูกต้องก็ยังคงดำเนินการสอบสวนต่อ ส่วนกรณีจะกลับมาเป็นทนายความได้อีกหรือไม่ เมื่อเขามีคุณสมบัติครบถ้วนก็อาจจะมายื่นคำร้องขอใบอนุญาตได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นคณะกรรมการก็ต้องพิจารณาคุณสมบัติตามมาตรา 35 ว่าเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมายให้จดทะเบียนเป็นทนายความได้อีกหรือไม่
ว่าที่พันตรีสมบัติ กล่าวเสริมว่า สำหรับการพิจารณาคดีมรรยาททนายความ ฉ้อโกงลูกความ ก็จะมีการสอบสวนลงโทษที่มีอยู่ 3 ระดับ คือ ภาคทัณฑ์,ห้ามทำการเป็นทนายความ มีกำหนดไม่เกิน 3 ปี,และลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ ซึ่งเป็นมาตรการลงโทษที่ได้ดำเนินการไปแล้วก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามเมื่อ 2-3 สันก่อน เพื่อนของนายพิสิษฐ์ ได้ติดต่อขอเข้ามาที่สภาทนายความ เพื่อมาชี้แจงข้อเท็จจริง ส่วนวันและเวลาเมื่อใด จะแจ้งให้สื่อมวลชนทราบอีกครั้ง