"ดีเอสไอ" ลงพื้นที่แม่ฮ่องสอนลุยหาข้อมูลการ ลอบขึ้นทะเบียนสวนป่า และมีการตัดไม้สักทอง ออกไปจากพื้นที่เป็นจำนวนมาก
พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า จากการส่งเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องการสวมเอกสารสิทธิในที่ดินเพื่อนำไปขึ้นทะเบียนสวนป่า และมีการตัดไม้สักทองจำนวนมากออกจากพื้นที่ในเอกสารสิทธิ ที่ขึ้นทะเบียน โดยก่อนหน้านั้นทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับการร้องเรียนจากอดีตข้าราชการระดับสูงในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เกี่ยวกับกลุ่มบุคคลที่ตัดไม้ทำลายป่า ด้วยวิธีการขึ้นทะเบียนสวนป่า ตามพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ.2535 เป็นเครื่องมือในการกระทำผิด
โดยการนำหลักฐานที่ดินในรูปแบบต่าง ๆ เช่น นส.3 , นส.3 ก. , โฉนดที่ดิน และ สปก.4-01 หรือหลักฐานที่ดินประเภทต่าง ๆ มาอ้างว่าที่ดินเหล่านั้นได้มีการปลูกสวนป่า แต่แท้ที่จริงมีไม้หวงห้ามมีค่าบางส่วนที่ขึ้นเองตามธรรมชาติอยู่ก่อนการขึ้นทะเบียน ต่อมาผู้ที่ขอขึ้นทะเบียนสวนป่าจะขออนุญาตตัดไม้ ในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อดำเนินการเชิงพาณิชย์รวมถึงไม้หวงห้ามที่ไม่ได้ปลูกด้วย
จากกรณีดังกล่าว กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อสืบสวน เพื่อทราบรายละเอียดของความผิด ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีการขึ้นทะเบียนสวนป่า จำนวน 444 แห่ง เนื้อที่ประมาณ 7,849–2–40 ไร่ และพบว่ามีไม้สักที่ขึ้นทะเบียนถูกตัดออกไปจำนวนถึง 816,786 ต้น แต่ผลการตรวจสอบการขึ้นทะเบียนสวนป่าบางแห่งมีข้อเท็จจริงดังนี้
1.การขึ้นทะเบียนสวนป่า รายของนายวิสุทธิ์ บุรุษภักดี พบว่าในพื้นที่อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีการใช้เอกสารสิทธิ์ นส.3 ก จำนวน 14 แปลง รวมเนื้อที่ 391-1-91 ไร่ ตำบลเมืองปอน อำเภอขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน มีจำนวนไม้ขอขึ้นทะเบียน 156,200 ต้น ซึ่งมีการรับขึ้นทะเบียนสวนป่าไปแล้วแต่จากการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่า พื้นที่ ที่มีการขึ้นทะเบียนอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ยวมฝั่งซ้าย จำนวน 10 แปลง รวมเนื้อที่ 278-2-63 ไร่ จำนวนไม้ที่ขอขึ้นทะเบียน 111,100 ต้น และอยู่นอกเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติซึ่งเป็นพื้นที่กันออก จำนวน 4 แปลง รวมเนื้อที่ 112-3-28 ไร่ มีการนำคดีขึ้นสู่ศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อ 29 ธันวาคม 2538 และเมื่อ 23 ธันวาคม 2546 ว่าเป็นเอกสารที่ดินปลอม โดยพื้นที่ดังกล่าว ได้มีการตัดไม้ทำลายป่าไปบางส่วนแล้ว โดยในฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ ฯ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับไว้เป็นการสอบสวนในคดีพิเศษแล้ว
2.การขึ้นทะเบียนสวนป่า รายนางจตุพร กวีวัฒน์ พบว่าได้มีการนำโฉนดที่ดินเลขที่ 8463 ออกวันที่ 16 มกราคม 2553โดยวิธีการเดินสำรวจ มาใช้เป็นหลักฐานการขอขึ้นทะเบียนสวนป่า เนื่อที่ 1-0-10 ไร่ พื้นที่ดังกล่าว มีไม้สักขึ้นเองตามธรรมชาติ 11 ต้น ความโตเฉลี่ย 201.23 เซนติเมตร มีอายุไม่ต่ำกว่า 50 ปี ได้นำมายื่นขอขึ้นทะเบียนสวนป่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2555 ตรวจสอบพบว่า ที่ดินดังกล่าว อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำปาย ทั้งแปลงซึ่งโฉนดดังกล่าว เป็นการออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยพื้นที่ดังกล่าวได้มีการตัดไม้ตามธรรมชาติไปหมดทั้งแปลง เรื่องอยู่ระหว่างการดำเนินการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
3.การขอขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่า รายนางทองใส ญาณวุฒิ พบว่าได้มีการนำโฉนดที่ดินเลขที่ 758 ตำบลปางหมู อำเภอเมือง จ.แม่ฮ่องสอน เนื้อที่ 8-3-37.1 ไร่ ไปยื่นคำขอขึ้นทะเบียนสวนป่า ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในฐานะนายทะเบียนที่ดินสวนป่า ต่อมาได้มีการถอนคำร้อง และกลับมายื่นขึ้นทะเบียนสวนป่าอีกครั้ง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ โดยยังไม่มีคำสั่งรับขึ้นทะเบียน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 กรมป่าไม้ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ เนื่องจากมีการขออนุญาตทำไม้สักออก
พบว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ปายฝั่งซ้าย ทั้งแปลง จึงสั่งการให้สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 สาขาแม่ฮ่องสอน ตรวจสอบข้อเท็จจริง ผลการตรวจสอบพบว่า ที่ดินที่มีการทำไม้ออก เป็นที่ตั้งของที่ดินโฉนด เลขที่ 758 ที่นางทองใส ฯ นำมาใช้เป็นหลักฐานในการยื่นขอขึ้นทะเบียนเป็นสวนป่า โดยน่าเชื่อว่าน่าจะออกเอกสารสิทธิโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และได้ส่งเรื่องให้กรมที่ดินทำการตรวจสอบ
โดยทางสำนักงานที่ดินจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ตรวจสอบแล้วพบว่า ที่ดินตามโฉนด หมายเลข 758 ได้ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงส่งเรื่องให้กรมที่ดินพิจารณาเพิกถอนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งต่อมาอธิบดีกรมที่ดินได้มีคำสั่งที่ 3540/2558 ลงวันที่ 29 กันยายน 2558 ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าว จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีคำสั่งไม่รับขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่ารายนางทองใส ฯ จากผลการสืบสวนดังกล่าว กรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีหนังสือแจ้งข้อมูลไปยังกรมป่าไม้ เพื่อให้มีการพิจารณาดำเนินการกับผู้บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติต่อไปแล้ว
ทั้งนี้การปกป้องทรัพยากรป่าไม้ เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่กรมสอบสวนคดีพิเศษถือเป็นภารกิจสำคัญ หากมีผู้กระทำผิดจะต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด และถ้าพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็จะต้องบังคับใช้กฎหมายโดยไม่มีการละเว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะนำเอากฎหมายฟอกเงินใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายต่อไป
ก่อนหน้านั้นในวันที่ 20 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา นายสืบศักดิ์ เอี่ยมวิจารณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ร่วมประชุมกับ พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ท.มนตรี บุญโยธิน ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแผนในการทำการตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานสนับสนุนข้อมูลให้แก่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หากพบว่ามีการกระทำผิดในส่วนใด ก็ให้ดำเนินคดีไปตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด
นายมานพ สายอุ่นใจ ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ ที่ 1 สาขาแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า จากการประชุมระหว่าง พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ พร้อมคณะ ร่วมกับ นายสืบศักดิ์ เอี่ยววิจารณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน , นายอรรคพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้ , สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแม่ฮ่องสอน , สำนักบริหารอนุรักษ์ที่ 16 แม่สะเรียง เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา สรุปได้ว่า
1.กรณีนายวิสุทธิ์ บุรุษภักดี นำ นส.3 ปลอมมาขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่า(ไม้สัก) 156,200 ต้น สภาพป่าที่ตรวจพบมีป่าปลูก(สัก)รวมกับไม้ธรรมชาติ ซึ่งพื้นที่ทั้ง 14 แปลงได้มีราษฎรเข้ามาจับจองเข้าทำประโยชน์ในลักษณะทำการเกษตรของแต่ละแปลงเป็นบางส่วน (เข้าครอบครองภายหลังจากที่นายวิสุทธิ์ฯทราบคำพิพากษาว่าเป็น นส.3 ปลอม แล้วหลบหนีคดีไป เมื่อประมาณ พ.ศ.2546) กรณีแยกเป็นการดำเนินการ 2 ประเด็น คือ
1.1 กรณีนายวิสุทธิ์อ้างการครอบครองในพื้นที่ทั้ง14 แปลงอยู่เมื่อประมาณ พ.ศ.2558 โดยนายวิสุทธิ์ได้แสดงตนไปแจ้งพนักงานสอบสวน สภ.ขุนยวมให้มาดำเนินการกับผู้ที่ลักลอบตัดไม้สัก กรณีนี้DSIรับเป็นคดีพิเศษและรองอธิบดีกรมป่าไม้ (นายอรรคพล เจริญชันษา) ได้สั่งการให้นายมานพ สายอุ่นใจ ผอ.สจป.1 มส.ไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับ พนักงานสอบสวนDSIในวันที่ 5 ก.ค.2560 ณ ที่ทำการ สจป.1 มส. พร้อมให้เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ มส.8 (หางปอน) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ
1.2 กรณีที่ประชาชนที่เข้ามาครอบครองพื้นที่ป่าทั้ง 14 แปลง และบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง สจป.1 มส. ได้ปิดประกาศให้ผู้ครอบครองทั้งหมดซึ่งทราบจากอำเภอขุนยวม ว่ามีจำนวน 36 ราย ให้มาให้ถ้อยคำข้อมูลกับพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในวันที่ 15 ก.ค. 2560 เพื่อรวบ รวมข้อมูลและตรวจสอบว่าจะเป็นผู้ยากไร้ตามคำสั่ง คสช.ที่ 66/57 หรือไม่เพียงใด
2.กรณีนางทองใส ญาณวุฒิ นำโฉนดที่ออกโดยมิชอบมาขอขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่า และต่อมากรมที่ดินได้สั่งเพิกถอนโฉนดที่ออกตามใบจองฉบับเดียว (โฉนด 5 แปลง)นั้น กรณีนี้สจป.1มส.ได้มีหนังสือขอหารือไปกรมป่าไม้เพื่อหาแนวทางปฏิบัติ นายอรรคพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้แจ้งว่าจะตอบข้อหารือมาในทำนองเดียวกับฟรีด๊อมที่กรมป่าไม้สั่งให้ดำเนินคดีกับผู้ครอบครองแล้วใช้อำนาจตามมาตรา 25 รื้อถอนพืชผลอาสิน ส่วนกรณีนางทองใสฯ ถึงแม้จะฟ้องศาลปกครองแต่ศาลยังไม่ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในคำสั่งเพิกถอนนั้น เจ้าหน้าที่คงต้องดำเนินการต่อไปตามอำนาจหน้าที่ สรุปกล่าวคือให้ สจป.1 มส.ติดป้ายปิดประกาศแจ้งให้ผู้ครอบครองทั้ง 5 แปลงทราบว่าได้มีการเพิกถอนโฉนดทั้ง5 แปลงแล้วจึงทำให้พื้นที่บริเวณนี้กลับสู่สถานะเดิมคือป่าสงวนแห่งชาติ ฉะนั้นผู้ที่ครอบครองอยู่จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และสำนักฯจะได้ดำเนินการต่อไป
3.กรณีนางจตุพร กวีวัฒน์ ได้นำโฉนดที่ออกโดยมิชอบในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำปายมาขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่าแล้วทำไม้สักออก กรณีนี้ที่ดินจังหวัดแม่ฮ่องสอน อ้างว่าโฉนดที่ดินมีบางส่วนอยู่นอกเขตรักษาพันธ์ฯและเป็นการออกโฉนดโดยการเดินสำรวจ แต่กรมอุทยานฯแย้งว่าอยู่ในเขตรักษาพันธ์ฯทั้งแปลง กรณีนี้จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้มีคำสั่งจังหวัดที่ 1345/2560 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง แล้วให้รายงานผลภายใน 30 วัน เพื่อตรวจสอบว่าพื้นที่โฉนดดังกล่าวออกโดยชอบหรือไม่อย่างไร
4.กรณีการขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่าในจังหวัดแม่ฮ่องสอนไม้สัก จำนวนกว่าแปดแสนต้นนั้น ทางสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ชี้แจงว่าการรับขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่านั้นมีทั้งของ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ หรือ ออป.ประมาณ 300,000 กว่าต้น (5,000 ไร่) นายวิสุทธิ์ 156,200 ต้น นอกนั้น เป็นของชาวบ้านที่นำมาขอขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่า ที่ประชุมเห็นชอบว่ากรณีการขอขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นสวนป่าหากที่ดินไม่มีต้นไม้ก็น่าจะตรวจสอบยกเลิกเพิกถอนใบทะเบียนสวนป่า หรือ สป.3 เพื่อป้องกันการนำไปแสวงหาผลประโยชน์ในโอกาสต่อไป