ระวัง 'หุ้นโรงกลั่น' หวั่นขาดทุนสต็อกโผล่

ระวัง 'หุ้นโรงกลั่น' หวั่นขาดทุนสต็อกโผล่

ระวังหุ้นโรงกลั่น หวั่น "ขาดทุนสต็อกโผล่"

กรุงเทพธุรกิจสำรวจการเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่น ในช่วงไตรมาสปี2560 พบว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาแรง โดยหุ้นบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) SPRC ปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 12.21% จากราคา13.10บาท เป็น 14.70 บาท และราคาหุ้นทำนิวไฮต่อเนื่อง รองลงมาเป็นหุ้นไทยออยล์เพิ่มขึ้น 3.31% จากราคา 75.50บาท เป็น78 บาท และหุ้นไออาร์พีซี(IRPC)เพิ่มขึ้น 1.94%จากราคา5.15 บาทเป็น 5.25 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 0.72%

ล่าสุดบรรดานักวิเคราะห์เริ่มออกมาส่งสัญญาณเตือนให้ระวังการลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงกลั่นหลังจากราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลง และอาจจะทำให้เกิดผลกระทบจากการสต็อกน้ำมัน

บล.ทิสโก้ระบุว่า ฝ่ายวิจัยแนะนำให้ผู้ลงทุนต้องระวังผลประกอบการงวดไตรมาส 2ปีนี้ของหุ้นกลุ่มโรงกลั่น หลังจากที่ไตรมาส2 ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 3-8% ในเดือน มิ.ย. แม้ว่าอัตรากำไรจะลดลง และราคาน้ำมันที่ลดลง ซึ่งราคาหุ้นโรงกลั่น TOP และ SPRC เพิ่มขึ้น 3% และ 8% ตามลำดับ ในเดือน มิ.ย. เนื่องจากเป็นช่วงที่อุปสงค์ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก Driving Season ซึ่งจะช่วยหนุนผลประกอบการและอัตรากำไร

ส่วนต่างของค่าการกลั่นออกมาน่าผิดหวัง โดยลดลงเล็กน้อยไตรมาส1ปี2560 จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นชดเชยผลของอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น แม้ Deutsche Bank จะมองว่าในระยะกลางอัตรากำไรจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดิมที่ 7.5-7.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และแนะนำนักลงทุนมีความระมัดระวังต่อกลุ่มโรงกลั่น จากความเสี่ยงของผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด และโอกาสที่จะขาดทุนจากสต็อก ทีมนักวิเคราะห์ที่ดูกลุ่มน้ำมันและโรงกลั่นพบว่าอัตราการกลั่นสูงสุดในรอบ 5 ปี และกดดันความสามารถในการทำกำไรลง และปรับประมาณการของกลุ่มลง 17%

"ฝ่ายวิจัยเชื่อว่านักลงทุนมีความคาดหวังว่า อัตรากำไรของกลุ่มโรงกลั่นจะเพิ่มขึ้นกดดันผลประกอบการและสต็อก และเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ลดลง (7 ดอลลาร์ ) ทำให้คาดว่ากลุ่มโรงกลั่นจะมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันโดยเฉพาะ TOP และ IRPC"

แม้ว่ากลุ่มโรงกลั่นจะมีความเสี่ยงในระยะสั้น แต่เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบที่ต่ำจะเป็นปัจจัยหนุนการดำเนินงานให้ดีขึ้นในอนาคต และอัตรากำไรให้เพิ่มขึ้นเป็น 7.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยโรงกลั่นที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์หุ้นTOP และ BCP ซื้อขายในราคาที่ค่อนข้างสูง แต่เชื่อว่าด้วยเงินปันผล 4.6-5.3% จะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้น มีความเสี่ยงสำคัญคือ ราคาน้ำมันดิบ และอัตรากำไรที่ลดลง

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทย ระบุว่าหุ้นไทยออยล์ มีแนวโน้มผลประกอบการปกติ ไม่รวมสต็อกไตรมาส2ปี2560คาดอ่อนตัวจากงวดไตรมาสแรก กดดันจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่อ่อนตัวลง 10.5-22.0% เทียบจากไตรมาสแรกปีนี้ สำหรับ PX และ BZ ตามลำดับ แนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังคาดอ่อนตัวลง ตามค่าการกลั่นและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์อะโรรเมติกส์และน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานสำหรับผลประกอบการ 1ปีนี้ของไทยออยล์ 42.8% ของประมาณการ เบื้องต้นคงประมาณการที่ 14,235 ล้านบาท