นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ยุติธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์เข้าไปดูแลกรณีนางจรูญ อายุ 82 ปี ถูกลูกชายและลูกสะใภ้ แจ้งความดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์เป็นตู้ไม้ 2 หลัง โดยกำชับให้ตรวจสอบวาสนางจรูญมีศักยภาพที่จะต่อสู้คดีด้วยตนเองได้หรือไม่ ถ้าตรงตามหลักเกณฑ์กองทุนยุติธรรม ให้ช่วยจัดหาทนายความสู้คดีที่ลูกชายและลูกสะใภ้ที่แจ้งความ รวมทั้งให้พิจารณาในประเด็นที่นางจรูญ ในฐานะมารดาเอาทรัพย์ซึ่งเป็นตู้ไม้ไปเก็บไว้ตามข่าวนั้นเข้าข่ายเจตนาลักทรัพย์หรือไม่
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตาม พ.ร.บ. องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 21 วรรคสอง กรณีถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าการฟ้องคดีอาญาจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน ให้เสนอต่ออัยการสูงสุด และอัยการสูงสุดมีอํานาจสั่งไม่ฟ้องได้
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวด้วยว่า กรณีของนางจรูญ หากมีการฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ที่บัญญัติว่า "ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6,000 บาท แต่การกระทำดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการกระทำที่ผู้บุพการีกระทำต่อผู้สืบสันดาน แม้กฎหมายมิได้บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้ ก็ให้เป็นความผิดอันยอมความได้ และนอกจากนั้น ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ตามมาตรา 71 ซึ่งศาลอาจจะมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติทำการสืบเสาะและพินิจ โดยศาลอาจใช้ดุลพินิจพิจารณายกฟ้อง หรือรอลงอาญาแล้วคุมหรือไม่คุมประพฤติก็ได้
