พลังแห่งการคิดบวกของ เอกราช บำรุงพืชน์

พลังแห่งการคิดบวกของ เอกราช บำรุงพืชน์

“เอกราช บำรุงพืชน์"สร้างคุณค่าชีวิตได้อย่างคุ้มค่า แม้ต้นทุนชีวิตจะไม่เท่ากับคนอื่น แต่สามารถก้าวสู่ความสำเร็จทั้งหน้าที่การงานและชีวิตคู่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของตัวเองควบคู่กับพลังแห่งการคิดบวก ในวัย 36 จึงมีพร้อมทั้งความมั่งคั่ง มั่นคงและความรัก


เรื่อง : บุษกร ภู่แส
ภาพ : กุลพันธ์ ศิริพิมพ์อัมพร
โปรย // ด้วยพลังแห่งการคิดบวกทำให้ชายหนุ่มวัย 36 ประสบความสำเร็จทั้งคู่ครอง การงานและการเงิน //
โค้ดคำพูด-ถ้าจะใช้นะ // ทรัพย์สินแพงๆ ก็สนองความอยากล้วนๆ ได้มาแล้วก็จบ ไม่ได้ขวนขวายอยากมีใหม่ ///


นิยามความสำเร็จไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่คือการสร้างขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของตัวเอง “เอกราช บำรุงพืชน์"สร้างคุณค่าชีวิตได้อย่างคุ้มค่า แม้ต้นทุนชีวิตจะไม่เท่ากับคนอื่น แต่สามารถก้าวสู่ความสำเร็จทั้งหน้าที่การงานและชีวิตคู่  จากเด็กต่างจังหวัดที่ฝันอยากเป็นแพทย์ กลายมาเป็น นักวิชาการด้านอาหารและโภชนาการ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ควบคู่อาจารย์พิเศษด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย รวมถึงวิทยากร พิธีกรรายการโทรทัศน์ นักเขียนเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการสุดฮอตที่มีคนรู้จักและอยากเรียนด้วยมากสุดคนหนึ่งของประเทศ


ย้อนไปสมัยเด็กชีวิตค่อนข้างลำบากจากการที่คุณแม่เสียชีวิตด้วยโรคมาลาเรียตั้งแต่เขาอายุได้ 3 ขวบ จึงอาศัยอยู่กับคุณยายและคุณพ่อ ซึ่งเป็นชาวสวนจังหวัดจันทบุรี สถานภาพความเป็นอยู่อัตคัด ระหว่างที่เรียนอยู่ชั้นประถมก็ช่วยคุณยาย มีอาชีพค้าขายผลไม้แถวน้ำตกพลิ้ว ขณะเดียวกันเริ่มค้าขายด้วยการขายไอติมหลอดทุกวันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ กระทั่งมีเงินเก็บเป็นหลักแสนจากการขายไอติมหลอดแท่งละ 2 บาท 2 แท่ง 5 บาท ช่วงระยะเวลา2-3 เดือนหรือช่วงไหนที่หน้าผลไม้จะช่วยคุณยายค้าขาย หรือไม่ก็ไปซื้อนาฬิกา แว่นตาและเกมกดเตอร์ติสจากตลาดสำเพ็งและตลาดโบเบ้มาขาย

ต้นทุนน้อยแต่ใจสู้
            เอกราช คิดอยู่เสมอว่า ตนเองมีต้นทุนชีวิตน้อยกว่าคนอื่นจึงขวนขวายหารายได้ไว้ใช้ในการเรียน ช่วงมัธยมตอนปลายเขาเรียนสายวิทยาศาสตร์ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี เพราะอยากจะเข้าเรียนแพทย์ โดยทุกวันเสาร์และอาทิตย์จะนั่งรถเมล์มากรุงเทพฯ เพื่อไปเรียนกวดวิชาในสถาบันชื่อดังต่างๆ เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐอันดับท็อปๆ อย่างจุฬาฯ มหิดล เกษตรศาสตร์ ธรรมศาสตร์ แต่สุดท้ายตัดสินใจสอบเข้าคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หลังจากประเมินศักยภาพตนเองแล้วว่า คงไม่สามารถสอบเข้าเรียนแพทย์ด้วยเกรดแค่ 3.5 สู้กับคนอื่นไม่ไหว


ที่คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เขาตัดสินใจเลือกเรียนสาขาอาหารและโภชนาการ สำเร็จการศึกษามาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 จากที่ปีแรกเกรดไม่ถึง 3 จากนั้นไปสอบชิงทุนปริญญาเอกเภสัชวิทยา คณะแพทย์ฯ จุฬาฯ แต่อาจารย์ที่มหิดลอยากให้กลับมาเป็นอาจารย์ จึงตัดสินใจมาเรียนปริญญาเอกสาขาโภชนาการเชิงทดลองและชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยได้ทุนจากทบวงมหาวิทยาลัยเรียนในประเทศ 2 ปีและสหรัฐอเมริกา 2 ปี จากนั้นกลับมาใช้ทุนเป็นอาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล


ระหว่างที่ทำงานประจำได้รับเชิญจากสำนักเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ให้เป็นอาจารย์พิเศษ ทำให้สนใจเรื่องเวชศาสตร์ชะลอวัยมากขึ้น จึงไปเรียนต่อวุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ (FAARM) สมาคมเวชศาสตร์ชะลอวัยแห่งสหรัฐ แล้วกลับมาทำงานเป็นอาจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัยมหิดลและอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและธุรกิจบัณฑิตย์ รวมทั้งกรรมการสอบแพทย์ผิวหนังที่เรียนปริญญาโท วิชาเกี่ยวกับทางผิวหนังหรือตจวิทยา ซึ่งจะมีการสกัดสารสำคัญออกมาเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย กลายเป็นจุดเปลี่ยนทำให้เกิดความสนใจลงทุนทำธุรกิจ


ทุกสเต็ปต้องมีแผน
            เนื่องจากมีหัวการค้าที่สั่งสมมาตั้งแต่เด็ก จึงตัดสินใจหยิบยืมเงินจากคุณลุงมาลงทุนเปิดบริษัท ด็อกเตอร์-ฟาร์มา จำกัด รับจ้างพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม ลดน้ำหนักและชะลอวัย พร้อมด้วยบุคลากรที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางทำหน้าที่พัฒนาสูตรที่ประกอบไปด้วยสารออกฤทธิ์สำคัญที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ทางวิทยาศาสตร์ หรือการศึกษาทางคลินิกที่ยืนยันประสิทธิภาพ และพิสูจน์ผลลัพธ์ที่ชัดเจนแก่ผู้ประกอบการที่สนใจ รวมทั้งผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเองมาจำหน่ายด้วย จากยอดขายเดือนละไม่ถึงแสน ขยับเป็น 3-4 แสนบาทในเวลาต่อมา


จากนั้นเจอแฟนที่เรียนจบเภสัชศาสตร์ มาเรียนต่อด้านการตลาด ที่วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงให้เข้ามาช่วยดูแลกิจการ เพราะลำพังงานประจำและงานพิเศษที่รับแทบจะไม่ไหนแล้ว ส่วนตัวเขาทำหน้าที่ปรึกษา ล่าสุดผลิตภัณฑ์เริ่มติดตลาดสามารถเข้าไปวางจำหน่ายในร้านขายยารวม 100 แห่ง สัดส่วนรายได้หลักมาจากการรับจ้างผลิตให้กับลูกค้า 70 % ส่วนที่เหลือ 30% มาจากแบรนด์ตนเอง นอกจากนี้ยังทำคลินิกความงามและชะลอวัยโดยหุ้นกับลูกศิษย์


“ปีนี้ผมอายุ 36 เรียนจบปริญญาเอกตั้งแต่อายุ 27 พอ อายุ 30 ได้ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ เริ่มทำธุรกิจอายุ 32 พอได้เงินมาซื้อเบนซ์ขับเลย เพราะตอนเด็กๆ อยากได้ จากนั้นซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์และแหวนวงละ 4-5 แสนบาท สนองความอยากล้วนๆ (หัวเราะ) ก็แค่นั้น ไม่ได้มีความคิดอยากเปลี่ยนรถใหม่ๆ ตลอดเวลา แค่สนองความยากแต่ไม่ได้ขวนขวายอยากมีใหม่เรื่อยๆ ล่าสุดเพิ่งซื้อสิ่งที่ราคาแพงสุดคือบ้าน 20 ล้านบาท จากเดิมที่อยู่คอนโด 2 ล้านบาท เพราะเพิ่งแต่งงานเมื่อปลายปีที่ผ่านมา”


บางคนคิดว่า ตัวเองต้นทุนต่ำ รู้สึกท้อแท้ แต่สำหรับผู้ชายชื่อเอกราชคนนี้ “ไม่ใช่” เวลาที่มีปัญหา หลายคนมองว่า เขาทำตัวอยู่เหนือปัญหา เอกราช บอกว่า ไม่ได้อยู่เหนือปัญหา แต่อยู่ใต้ปัญหาอย่างมีความสุขต่างหาก (หัวเราะ) เพราะถ้าเครียดกับปัญหาไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา “พลังแห่งการคิดบวก” ต่างหากที่จะช่วยคลี่คลายไปได้ บางครั้งมันเป็นจังหวะชีวิต อาจมีผิดแผนไปบ้าง ไม่ควรจะไปเครียดกับปัญหาที่เข้ามา แม้ว่าจะเป็นลูกคนเดียว แต่ไม่เคยมีความรู้สึกว่าเหงา ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีกิจกรรมให้ทำตลอดเวลา เนื่องจากเขาคิดว่าต้นทุนชีวิตต่ำกว่าคนอื่นจึงต้องขยันให้มากๆ ยกตัวอย่าง สมัยเรียนปริญญาเอก เขาเตรียมเขียนขอเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ตั้งแต่ยังไม่จบเอก ทุกอย่างวางแผนล่วงหน้าไว้หมด
กำไรชีวิตของคนขยัน ไลฟ์สไตล์ของเอกราชจะออกกำลังกายบนลู่วิ่งในช่วงเช้า 30-40 นาทีเพื่อสลายไขมัน ระหว่างนั้นจะเปิดเพลงหรือรับชมรายการ The Mask Singer หรือรายการใดก็ได้ที่สนุกสนาน จากนั้นอาบน้ำ รับประทานอาหาร ก่อนออกไปทำงาน ประจำที่มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งไม่ได้มีสอนทุกวัน บางวันไปเป็นกรรมการสอบ ไปบรรยายหรือร่วมงานประชุมวิชาการ สรุปแล้วตลอด 7 วันแทบไม่ได้หยุด เพราะมีสอนหลักสูตรปริญญาโท ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยกับอีก 2 มหาวิทยาลัย ตอนเย็นกลับมาบางวันต้องไปประชุมคลินิกต่อสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ช่วงหลังลดลงเหลือ 2-3 สัปดาห์ครั้ง ส่วนงานเขียนบทความจะใช้ช่วงเวลาพัก

“แต่ละเดือนจะมีงาน 10-15 งาน ส่วนใหญ่จะเป็นวิทยากรทำหน้าที่บรรยายแลกเปลี่ยนความรู้ ไม่รู้สึกเครียดแต่อย่างใด เพราะวางแผนการทำงานไว้ดีว่าแต่ละวันจะทำอะไร ถ้าผิดแผนก็เตรียมแผนสำรองไว้รองรับ นอกจากนี้ยังทำธุรกิจจิวเวอรี่ด้วยเพื่อเป็นรายได้เสริมโดยออกแบบเอง เพราะเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ แต่จิ๊กซอว์ที่สำคัญในชีวิตของผมคือ ธรรมะ ซึมซับจากวัยเด็กที่คุณย่าพาเข้าวัดเดินจงกลม นั่งสมาธิ สวดมนต์ ทุกวันนี้ผมจะอาราธนาศีล สวดมนต์วันละประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนนอน นั่งสมาธิเพื่อให้จิตเป็นสมาธิและมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต”

มาถึงวันนี้ สิ่งที่อยากทำและยังไม่ได้ทำสำหรับเอกราช คือ การพาครอบครัวซึ่งรวมถึงคุณพ่อและญาติผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดเที่ยวรอบโลก เป็นแผนหลังจากวางแผนเกษียณจากการทำงานไว้ที่อายุ 50 ปี หลังจากที่มีเงินเก็บก้อนหนึ่งที่ทำให้มีความมั่นคงในชีวิต และบริษัทที่ทำสามารถอยู่รอดและพนักงานอยู่ได้อย่างมั่นคง
เมื่อถามถึงจำนวนเงินที่จะทำให้เกิดความมั่นคงในบั้นปลายชีวิต คำตอบของเขาคือ “ไม่ใช่การมีเงินเป็นพันล้าน”