บุกค้น10จุดเครือข่าย 'นพรัตน์' อดีตผอ.พศ. คดีทุจริต60ล้าน

บุกค้น10จุดเครือข่าย 'นพรัตน์' อดีตผอ.พศ. คดีทุจริต60ล้าน

ตำรวจ ปปป. สนธิกำลังทหาร ค้นบ้านตามหมายศาล เครือข่าย "นพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์" อดีตผอ.สำนักพุทธฯ คดีทุจริตเงินซ่อมวัด12แห่ง กว่า 60 ล้าน

ตำรวจกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) สนธิกำลังตำรวจกองปราบปราม ทหาร ลงพื้นที่นำหมายศาลตรวจค้นบ้านพี่สาว ภรรยาคนที่ 2 ของอดีต ผอ.สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ ต.ช้างมิ่ง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร คาดว่าหน้าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินอุดหนุนงบประมาณบูรณะ และปฏิสังขรณ์วัด กว่า 60 ล้านบาท

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 8 มิถุนายน 2560 พ.ต.อ.วรายุทธ สุขวัมน์ รอง ผบก.ปปป. พ.ต.อ.วสันต์ เกศะรักษ์ ผกก.3 บก.ปปป. สนธิกำลัง ตำรวจกองปราบปราม ทหาร นำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 95 หมุู 11 ต.ช้างมิ่ง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ซึ่งเป็น 1 เป้าหมาย ใน 10 จุด ทั่วประเทศ ที่เป็นเครือข่ายของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ

โดยมีนางสุภัชชา จันฤาไชย อายุ 55 ปี กำลังนั่งขายของอยู่ภายในบ้าน เจ้าหน้าที่ชุดตำรวจกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบจึงแสดงหมายศาลขอเข้าตรวจค้นในพื้นที่บริเวณนอกบ้านและภายในบ้าน ของนางสุภัชชา จันฤาไชย ซึ่งนางสุภัชชา จึงยอมให้เจ้าหน้าที่ค้นภายในบ้าน

ปรากฏว่าพบรถแทร็กเตอร์ ยี่ห้อ คูโบต้า หมายเลขทะเบียน ตค- 6493 โดยปรากฏชื่อเป็นของนางชมพูนุท จันฤาไชย เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และสมุดบัญชีธนาคารต่างๆ สลิปการโอน ของนางสุภัชชา จันฤาไชย ที่นางชมพูนุท จันฤาไชย เป็นน้องสาวได้โอนเงินฝากเข้าบัญชีมาให้ และเอกสารการโฉนดที่ดินอีกหลายรายการ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ จึงรวบรวมทำบันทึกตรวจค้นไว้

ภายหลังจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ สืบทราบมาว่า นางชมพูนุท จันฤาไชย ซึ่งเป็นภรรยาคนที่ 2 ของนายนพรัตน์ เบญวัฒนานันท์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือไม่ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2556 นางชมพูนุท จันฤาไชย ได้โอนเงินจากบัญชี จำนวน 500,000 บาท ไปเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย ของนางสุภัชชา จันฤาไชย และในวันรุ่งขึ้น นางสุภัชชา จันฤาไชย ได้นำเงินดังกล่าว มาซื้อรถแทร็กเตอร์ ยี่ห้อ คูโบต้า หมายเลขทะเบียน ตค- 6493

จากการสอบสวนพบว่านางชมพูนุท มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริต เมื่อปี 2557 วัดพนัญเชิงวรวิหารไม่ได้จัดทำคำขอบูรณปฎิสังขรณ์วัดแต่อย่างใด แต่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยนางประนอม คงพิกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แจ้งให้ทราบว่าจะโอนเงินงบประมาณมาให้กับวัด จำนวน 10,000,000 บาท และวัดจะได้เงินจากจำนวนนี้ 2,000,000 บาท โดยให้ทางวัดโอนเงินกลับคืนจำนวน 8,000,000 ให้กับนางประนอม โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของนางชมพูนุท จันฤาไชย เพื่อนำไปใช้ในกิจการของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

ต่อมา วันที่ 31 ธันวาคม 2557 สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติได้โอนเงินเข้ามายังบัญชีเงินฝากของวัดพนัญเชิงวรวิหาร และวัดก็ได้โอนเงินจำนวน 8,000,000 บาท จากบัญชีเงินฝากดังกล่าว ไปเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทยของนางชมพูนุท จันฤาไชย ตามที่นางประนอม คงพิกุลได้แจ้งกับทางวัด จากนั้นนางชมพูนุท จันฤาไชย ได้โอนเงินจากบัญชีดังกล่าว จำนวน 500,000 บาท ไปยังบัญชีเงินฝากของนางสุภัชชา จันฤาไชย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่คาดว่านางชมพูนุท จันฤาไชย จะเอาเงินจากการทุจริตมาแปลงเป็นทรัพย์สินเพื่อทำการฟอกเงิน โดยผิดกฎหมายหรือไม่ และจะได้แจ้งทางเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอายัดทรัพย์สินไว้ต่อไป

ซึ่งทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ได้รับเบาะแสการทุจริต จึงได้ทำการตรวจสอบจนพบความผิดปกติในเส้นทางการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จึงได้ส่งต่อข้อมูลให้กับบก.ปปป. เมื่อเดือนสิงหาคม 2558 จากนั้นบก.ปปป. ได้ทำการสืบสวนสอบสวนต่อ จนมีพยานหลักฐานเพียงพอไปขออนุมัติหมายศาลเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในวันนี้ บก.ปปป.ตรวจสอบข้อมูลเงินงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ปี 2555 -2559 ที่มีการเบิกจ่าย 33 วัด พบว่าวัดที่เข้าข่ายทุจริต 12 วัด อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ 6 วัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 วัด ภาคกลาง 2 วัด และภาคใต้ 1 วัด

ซึ่งนายนพรัตน์ เบญวัฒนานันท์ อดีตผอ.สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกับนางประนอม คงพิกุล และนางชมพูนุท จันฤาไชย ภรรยาคนที่ 2 ซึ่งได้ไปทำผิดกับวัดที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และ ภาคใต้ ซึ่งพบเงินที่ ทุจริตเป็น เงิน จำนวน 60 กว่าล้านบาท

พฤติการที่ตรวจสอบพบ คือ เจ้าหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ใช้อำนาจในการจัดสรรเงินอุดหนุนงบประมาณบูรณะและปฏิสังขรณ์วัด เพื่อสนับสนุนให้วัดทำโครงการต่างๆ จากนั้นเรียกรับเงินคืนจากวัด ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รู้เห็นกับทางวัดที่ตรวจพบด้วย

เบื้องต้น จากการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย ยังไม่พบตัวบุคคลที่พบเอกสารหลักฐานทางการเงิน เช่น สลิปการโอน จึงได้เก็บรวบรวมมาเพื่อตรวจสอบกับข้อมูลที่ บก.ปปป.มีอยู่ เพื่อเปรียบเทียบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับทางคดีหรือไม่ หากเกี่ยวข้องจะเก็บไว้เป็นหลักฐาน แต่ถ้าไม่เกี่ยวข้องก็จะนำส่งคืน

โดยนางสุภัชชา จันฤาไชย ให้การว่า นางชมพูนุท จันฤาไชย น้องสาวไม่ได้ติดต่อกับตนเองมานานมากแล้ว แล้วตนเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เงินที่น้องสาวตนโอนมาให้นั้นจะเป็นเงินผิดกฎหมาย ซึ่งทางน้องสาวบอกเพียงว่านำเงินดังกล่าว ไปซื้อรถแทร็กเตอร์ และที่ดินไว้ หลังจากนั้น ก็มาเอาเอกสารทุกอย่างไป และก็ไม่ได้บอกด้วยว่าจะเดินทางไป และก็เงียบหายไปไม่สามารถติดต่อได้เลย

นำหมายบุกค้นบ้านพักข้าราชการระดับสูงสำนักพุทธฯ

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 8 มิถุนายน 2560 พ.ต.อ.แมน รัตนโมรา ผกก.สอบสวน บก.ปปป. เปิดเผยภายหลังนำหมายค้นจากศาลศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เข้าตรวจค้นภายในบ้านเลขที่ 89/5 หมู่บ้านหรูแห่งหนึ่งย่านถนนศรีนครินทร์ หมู่6ต.บางเมือง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นบ้านพักข้าราชการระดับสูง สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อค้นหาเอกสารที่เชื่อมโยงและเกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีทุจริตงบประมาณในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

พ.ต.อ.แมน รัตนโมรา ผกก.สอบสวน บก.ปปป. กล่าวว่า วันนี้เจ้าหน้าที่จาก บก.ปปป.พร้อมด้วยกองปราบปราม เจ้าหน้าที่ ปปง.และตำรวจ สภ.เมืองสมุทรปราการ ได้ร่วมกันนำหมายค้นเข้าตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าวเพื่อหาข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องในคดีทุจริตงบประมาณในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เนื่องจากบ้านพักหลังดังกล่าวเป็นบ้านของรองผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตำแหน่ง และจากการตรวจค้น ตำรวจพบเอกสารเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากและใบฝากเงินจำนวนมาก จึงได้ตรวจยึดไว้พร้อมกับเอกสารอื่นๆรวม16รายการ

ซึ่งกระบวนการดังกล่าวอยู่ระหว่างการสอบสวน เบื้องต้นข้าราชการคนนี้ยังไม่ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิด แต่เนื่องจากคณะทำงานอยู่ระหว่างการสอบสวนหาข้อเท็จจริงในเรื่องคดีทุจริตงบประมาณอุดหนุนวัดหลายสิบล้านบาทจาก12วัดทั่วประเทศ และข้าราชการคนดังกล่าวเกี่ยวข้องโดยตำแหน่ง จึงต้องนำหมายค้นเข้ามาตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียด โดยหลังจากนี้จะนำเอกสารที่ตรวจยึดไว้นำไปตรวจสอบอย่างละเอียดว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้วันนี้ทาง บก.ปปป.ได้บูรณาการกำลังเข้าตรวจค้นจุดที่เกี่ยวข้องในหลายจังหวัดรวม10จุดทั่วประเทศเพื่อหาหลักฐานนำตัวผู้กระทำความผิดในการทุจริตงบประมาณอุดหนุนวัด มาดำเนินคดีต่อไป