‘สหกล’ประมูลเหมืองแม่เมาะ9

‘สหกล’ประมูลเหมืองแม่เมาะ9

สหกลอิควิปเมนท์ประมูล "เหมืองแม่เมาะ9" เตรียมเพิ่มทุน นำเงินหมื่นล้านลงทุนโครงการ เจรจาถือหุ้นโปรแตชไมนิงหวังเพิ่มรายได้ระยะยาว

 

สหกลอิควิปเมนท์ เตรียมเพิ่มทุนหากชนะประมูลโครงการเหมืองแม่เมาะ 9 เหตุต้องใช้เงินลงทุน 1 หมื่นล้าน เผยอยู่ระหว่างเจรจาเข้าถือหุ้นโปรแตชไมนิงเพื่อรับเหมางานเหมืองโปรแตช จ.ชัยภูมิ คาดได้ข้อสรุปไตรมาส 3 ปีนี้ ยันรายได้ปีนี้สูงกว่าปีก่อน 

นายศาศวัต ศิริสรรพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) SQ กล่าวว่า บริษัทเตรียมเข้าประมูลโครงการแม่เมาะ 9 มูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเปิดให้ยื่นซองประมูลวันที่ 15 ส.ค.นี้ คาดรู้ผลในไตรมาส 4 ปี 2560 และจะเซ็นสัญญา ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2561 ส่วนงานในต่างประเทศ บริษัทมองหาโอกาสประมูลงานเหมืองในแถบซีแอลเอ็มวีต่อเนื่อง

ทั้งนี้ หากชนะประมูลโครงการเหมืองแม่เมาะ 9 บริษัทจะต้องเพิ่มทุนจดทะเบียน เพราะโครงการดังกล่าวจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะเพิ่มทุนในปี 3-4 ปีข้างหน้า เพราะ โครงการดังกล่าวจะเริ่มดำเนินในปี 2563 อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเพิ่มทุนไม่มาก เนื่องจากบริษัทมีกระแสเงินสด และสามารถกู้สถาบันการเงินได้

ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเข้าไปถือหุ้น บริษัท โปแตช ไมนิง จำกัด ถือหุ้นโดย รัฐวิสาหกิจของเบลารุส ซึ่งเป็นผู้รับคัดเลือกจาก บริษัทเหมืองแร่โปแตชอาเซียน จำกัด (มหาชน) ให้รับเหมาพัฒนาเหมืองโปแตช ที่จังหวัดชัยภูมิ แต่หากพิจารณาแล้วราคางานและมาร์จินงานไม่ดี ก็จะไม่ลงทุน คาดว่าชัดเจนในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้

บริษัทเพิ่มงบลงทุนปีนี้เป็น 3.5-3.6 พันล้านบาท จากเดิมที่คาด 3 พันล้านบาท หลังจากบริษัทได้งานเหมืองดีบุก ที่เมียนมา มูลค่า 3.67 พันล้านบาท ในระยะ 7 ปี ซึ่งจะเริ่มทำงานในช่วงไตรมาส 4/60 ทำให้ต้องซื้อเครื่องจักรเพิ่ม โดยแหล่งเงินมาจากเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)

แนวโน้มผลประกอบการปีนี้ เชื่อว่าจะดีกว่าปี 2559 เนื่องจากโครงการเหมืองแม่เมาะ โครงการที่ 8 เดินหน้าเร็วและมีมาร์จินดี ส่วนโครงการเหมืองหงสาก็ทำงานดีขึ้น เพราะโรงไฟฟ้าหงสามีการปรับปรุง ทำให้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ดีขึ้นจากปีก่อน ปัจจุบันมีงานในมือมูลค่า 3.75 หมื่นล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้ในช่วง 10 ปี

ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายรักษา EBITDA Margin ที่ 40% และ Net Margin ไม่ต่ำกว่า 10% โดยเน้นควบคุมต้นทุนเป็นหลัก

“แนวโน้มรายได้ไตรมาส 2 ปีนี้ ดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน จากปริมาณทำงานที่เพิ่มขึ้น แต่หากเทียบกับไตรมาส 1/60 จะปรับตัวลดลง เพราะปกติไตรมาส 1 เป็นช่วงที่บริษัทมีรายได้สูงสุด ส่วนไตรมาส 3 เป็นช่วงต่ำสุดของปี เพราะ ฝนตก ทำให้ทำงานได้น้อย และกลับมาดีในช่วงไตรมาส 4”