Daily Market Outlook (25 พ.ค.60)

Daily Market Outlook (25 พ.ค.60)

Fed ส่งสัญญาณค่อยๆ ขึ้นดอกเบี้ย

คาดหุ้นไทยขยับขึ้นต่อวันนี้ตามหุ้นสหรัฐที่บวกเล็กน้อยเมื่อคืนหลังจากที่รายงานการประชุมของ Fed ล่าสุดระบุการขึ้นดอกเบี้ยใน 1-2 เดือนข้างหน้า แล้วหลังจากนั้นจะค่อยๆ ขึ้นในครั้งต่อๆ ไป รวมทั้งไม่รีบถอน QE ราคาน้ำมันขยับลงก่อนการประชุม OPEC และผู้ผลิตน้ำมันอื่นที่จะตัดสินใจขยายเวลาการลดการผลิตหรือไม่ หุ้นพลังงานจึงไม่น่าช่วยตลาดวันนี้ ปัจจัยภายในประเทศวันนี้เป็นบวก โครงการรถไฟไทย-จีนอาจเริ่มก่อสร้างสิงหาคมนี้ หกบริษัทชั้นนำของโลกลงทุนใน EEC แน่ และอีก 30 บริษัทจะมาในไตรมาส 1 ปีหน้า

หุ้นเด่นวันนี้: WIIK (ราคาปิด 5.05; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย AWS ที่ 6.70 บาท)

WIIK ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 1/60 เท่ากับ 31 ล้านบาท ลดลง 2.6%YoY แต่เพิ่มขึ้น 57%QoQ เนื่องจากมีความล่าช้าของการรับรู้รายได้การจำหน่ายท่อ HDPE ให้กับผู้รับเหมาฯ ที่วางท่อประปา สุราษฎร์ธานีและสมุย ซึ่งเป็นโครงการใหญ่สำหรับ WIIK จากภาวะน้ำท่วมภาคใต้ในช่วงต้นไตรมาส 1/60 แต่การสั่งออร์เดอร์ท่อ HDPE กลับมาเป็นปกติแล้วในไตรมาส 2/60 นี้ พร้อมกับจะเริ่มมีการรับรู้รายได้จากโครงการบริหารจัดการน้ำของนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ ที่เริ่มตั้งแต่ พ.ค.60 นี้ เราคาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจบริหารจัดการน้ำเข้ามาในปี 2560 นี้เท่ากับ 87 ล้านบาท จากโครงการบริหารจัดการน้ำ 2 โครงการ ซึ่งโครงการแรก สยามอีสเทิร์นปาร์ค จะรับรู้รายได้เต็มที่ในปีนี้ราว 50 ล้านบาท ส่วนโครงการที่ 2 ของนิคมอุตสารมเวลโกรว์ จะรับรู้รายได้ราว 37 ล้านบาทในปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทได้แจ้งว่าจะมีโครงการบริหารจัดการน้ำโครงการละประมาณ 12,000 ลบ.ม.ต่อวัน เข้ามาสมทบอีกอย่างน้อย 2 โครงการภายในปี 2560 ซึ่งธุรกิจบริหารจัดการน้ำ จะเป็นการเพิ่มรายได้ Recurring Income ที่มีมาร์จิ้นดี นอกจากนี้ พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะกระตุ้นการลงทุนในภาคตะวันออก ทำให้ต้องวางโครงการเร่งด่วน 48 โครงการเพื่อรองรับเกี่ยวกับระบบน้ำ วงเงิน 7 พันล้านบาท รวมถึงการเพิ่มอ่างเก็บน้ำ การสร้างท่อน้ำ ปรับปรุงท่อระบายน้ำ รวมถึงระบบประปา นับว่าเป็นปัจจัยมหภาคที่ส่งผลบวกต่อ WIIK เราแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 6.70 บาท อิงวิธี Sum-of-the-parts จากค่า PER 14 เท่าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรวม 6.00 บาท และ ค่า DCF สำหรับงานบริหารจัดการน้ำ 2 แห่งรวม 0.70 บาท อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น (คิด Fully Dilution จาก WIIK-W1) ในปี 2560-2561 เท่ากับ 17%YoY และ 18%YoY

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• กนง.คงดอกเบี้ย ไว้ที่ 1.5% โดยมองว่าปัจจัยทางการเงินปัจจุบันยังเพียงพอที่จะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตาดู ได้แก่ ความสามารถในการชำระหนี้และความสามารถในการแข่งขันของกลุ่ม SME (Bangkok Post)

• เดินหน้ารถไฟเร็วสูงไทยจีน เปิดประมูลส.ค.นี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ 18 ว่าที่ประชุมจะโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา แก่คณะรัฐมนตรี(ครม.) ในเดือนมิถุนายนนี้ หากเห็นชอบ การรถไฟฯ ก็ลงนามจ้างจีนออกแบบระบบรางระยะทาง 252.5 กม. ช่วงเดือนกรกฎาคมนี้จากนั้นจึงเปิดประมูลโครงการ การก่อสร้างน่าจะเริ่มได้ ส.ค. (Bangkok Post)

• เอกชน 6 รายสนใจลงทุน EEC ทันที หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตาม ม.44 ปลดล็อกกฎหมายเกี่ยวกับขั้นตอนการลงทุน เชื่อว่าจะทำให้มีภาคเอกชนตัดสินใจเข้ามาลงทุนในพื้นที่อีอีซีประมาณ 30 ราย ภายในระยะเวลา 1 ปี คือภายในช่วงไตรมาสแรก ของปี 2561 เบื้องต้นมีเอกชน 6 ราย แสดงความสนใจเข้ามาลงทุนแล้ว ส่วนใหญ่เป็นกิจการใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Dailynews/Naewna/ThaiPost)

• SC (3.36) รุกธุรกิจใหม่บริการหลังการขายภายใต้บริษัท “เอสซี เอเบิล (SC Able)” พร้อมร่วมทุนกับ “ฟิกซิ (Fixzy)” Innovative startup แอพฯ รวมช่างอันดับหนึ่งของไทย เพื่อต่อยอดธุรกิจ และตอบโจทย์แบบ Total Solution พร้อมมุ่งยกระดับบริการหลังการขายอสังหาฯ ไทย (SET)ความเห็น: แม้ผลประกอบการไตรมาส 1/60 อ่อนแอมาก ประกาศกำไรสุทธิเพียง 75 ล้านบาท –84% YoY และ -71% QoQ ตามลำดับ เนื่องจากยอดขายแนวราบในเดือน มี.ค. มีการโอนที่ล่าช้าเข้ามาในช่วง เม.ย.60 อย่างไรก็ตาม เรามีมุมมองเป็นบวกกับ SC เพราะเป็นอสังหาริมทรัพย์แนวใหม่ที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภครุ่นใหม่ ๆ IAA Consensus แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 4.0 บาท ขณะที่ Dividend Yield โดดเด่นที่ 5.4% ต่อปี และ PER ต่ำเพียง 7.8 เท่า PBV ต่ำกว่า 1 เท่า คาดการเติบโตของกำไรในปี 2560 เท่ากับ –16%YoY แต่จะเพิ่มขึ้นเป็น +24%YoY ในปี 2561

ต่างประเทศ:

• รายงานการประชุมเฟดครั้งล่าสุดส่งสัญญาณการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการปรับลดการถือครองพันธบัตรมูลค่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์หลังจากเศรษฐกิจชะลอตัวในไตรมาส 1/60 และการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาทั้งบวกและลบในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม กรรมการที่กำหนดนโยบายเกือบทั้งหมดกล่าวว่าพวกเขาเห็นด้วยที่จะเริ่มปรับลดการถือครองตราสารหนี้และตราสารการเงินที่ผู้ซื้อลงทุนในสินเชื่อที่อยู่อาศัย(MBS) เป็นจำนวนมากของเฟดในปีนี้ (Reuters)

• มีความเป็นไปได้สูงที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. แต่โอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งลดลง จากการวิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสหรัฐพบว่า นักลงทุนมองว่ามีโอกาสถึง 83% ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. แต่มองว่ามีโอกาสเพียง 46% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งลดลงจาก 50% เมื่อวันอังคาร (Reuters)

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลงเมื่อวันพุธอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอ้างอิงอายุ 10 ปีปรับตัวลงกว่า 2 bps อยู่ที่ระดับ 2.257% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี ปรับตัวลง 2 bps อยู่ที่ระดับ 2.294% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีซึ่งมีความอ่อนไหวต่อความเห็นของนักลงทุนเกี่ยวกับนโยบายเฟด ปรับตัวลงกว่า 2 bps อยู่ที่ระดับ 1.298% (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อวันพุธหลังรายงานการประชุมเฟดเผยให้เห็นว่าคณะกรรมการเฟดเพิ่มความระมัดระวังเกี่ยวกบการใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ซึ่งวัดค่าเงินดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินหลักอีก 6 สกุล ปรับตัวลง 0.17% อยู่ที่ระดับ 97.184 หลังจากที่ร่วงลงสู่ระดับ 97.093 เงินยูโรซึ่งปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนนี้จากปัจจัยต่าง ๆ รวมทั้งความกังวลที่ลดลงในการเลือกตั้งของฝรั่งเศสและข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของยุโรป แข็งค่าขึ้น 0.2% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1204 ดอลลาร์สหรัฐ (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกต่อเมื่อวันพุธโดยดัชนี S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังรายงานการประชุมเฟดครั้งล่าสุดแสดงว่าคณะกรรมการเฟดเพิ่มความระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวหลังข้อมูลเศรษฐกิจเร็ว ๆ นี้แสดงถึงเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว อย่างไรก็ตาม พวกเขายังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ (Reuters)

• สถานการณ์ของทรัมป์เจอความไม่แน่นอนมากขึ้น เมื่อผู้นำ EU และ NATO จะกดดันทรัมป์ในข้อกังวลเรื่องนโยบายป้องกันประเทศ การค้า และสิ่งแวดล้อม โดยทรัมป์ตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ของพันธมิตรทางการทหารของ NATO และยังพิจารณาว่าจะให้สหรัฐออกจากข้อตกลงที่กรุงปารีสเรื่องความเปลี่ยงแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสร้างความกังวลต่อยุโรปเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ EU ยังมีส่วนกับข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งทรัมป์ได้วิจารณ์ประเด็นนี้หนักมาก (Reuters)

ยุโรป:

• หุ้นยุโรปพยายามจะรักษาโมเมนตัมวานนี้ แต่ก็ยังติดอยู่ต่ำกว่าระดับไฮเดิมในรอบ 21 เดือนมากว่า 1 สัปดาห์แล้ว โดยหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันหลักปรับตัวขึ้น แต่ถูกหักล้างโดยหุ้นกลุ่มยานยนต์และเหมืองแร่ ขณะที่หุ้น Daimler ได้ฉุดตลาดเช่นกันหลังจากไซต์งานถูกเข้าตรวจค้นโดยอัยการเยอรมันจากคดีฟ้องร้องเรื่องรถที่ปล่อยก๊าซออกมามากเกินกำหนด นอกจากนี้ Fiat Chrysler ปรับตัวลงเช่นกันหลังจากรัฐบาลสหรัฐฟ้องร้องในกรณีดังกล่าว (Reuters)

เอเชีย:

• ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น Haruhiko Kuroda กล่าวในวันพุธว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับ "อัตราดอกเบี้ยตามธรรมชาติ" ทำให้ธนาคารกลางควบคุมนโยบายได้ยาก Kuroda กล่าวว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ได้กระตุ้นการเติบโต ทำให้ธนาคารกลางต้องใช้นโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ปกติ (Reuters)

• จีนได้ลดการนำเข้าน้ำตาลตามโควต้าในปีนี้ลงไปครึ่งหนึ่ง จีนจะให้ใบอนุญาตการนำเข้าน้ำตาล 1 ล้านตันลดลงจาก 1.9 ล้านตันในปีที่แล้ว การลดใบอนุญาตดำเนินการตามการตัดสินใจของจีนในวันจันทร์เพื่อกำหนดอัตราภาษีพิเศษสำหรับการนำเข้านอกโควต้าในอีก 3 ปีข้างหน้า การนำเข้ามี "ความเสียหายอย่างร้ายแรง" ในอุตสาหกรรมภายในประเทศ จีนอนุญาตให้นำเข้าน้ำตาลได้ 1.94 ล้านตันต่อปีที่อัตราภาษีร้อยละ 15 เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของจีนในการเข้าสู่ WTO การนำเข้านอกโควต้านั้นจะเรียกเก็บอัตราภาษีที่สูงขึ้นและขึ้นอยู่กับการอนุญาตแต่ละครั้ง (Reuters)

• เรือรบของกองทัพเรือสหรัฐฯแล่นเรือไปภายใน 12 ไมล์ทะเลของเกาะเทียมซึ่งสร้างขึ้นโดยจีนในทะเลจีนใต้ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯกล่าวในวันพุธว่าเป็นความท้าทายครั้งแรกกับจีนในเส้นทางทางยุทธศาสตร์ ตั้งแต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump เข้ารับตำแหน่ง กลุ่มพันธมิตรของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้เริ่มกังวลกับการที่รัฐบาลใหม่ได้รับการปฏิบัติงานในทะเลจีนใต้ในช่วงสองสามเดือนแรกของการทำงาน น่านน้ำโดยทั่วไปจะถูกกำหนดโดยอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าขยายออกไปไม่เกิน 12 ไมล์ทะเลจากชายฝั่งของรัฐฯ (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• ราคาน้ำมันถอยลดลงเล็กน้อยวันพุธ เพราะนักลงทุนตอบสนองการถอนใช้น้ำมันเบนซินน้อยกว่าที่คาด เพราะรอการประชุม OPEC พฤหัสนี้ว่าจะขยายเวลาลดกำลังการผลิตหรือไม่ US EIA รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐร่วงไป 4.4 ล้านบาร์เรลสัปดาห์ที่แล้ว ถือเป็นเจ็ดสัปดาห์ติดและมากกว่าคาดการณ์ว่าจะลด 2.4 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินลดลงแค่ 787,000 บาร์เรลเทียบกับคาดการณ์ว่าจะลดลง 1.2 ล้านบาร์เรล น้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้าลบ 19 เซนต์ปิด 53.96 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐ ล่วงหน้าลบ 11 เซนต์ ปิด 51.36 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• ทองคำบวกวันพุธ เพราะรายงานประชุม Fed ชี้ว่าธนาคารกลางมีความระมัดระวังเกี่ยวการขึ้นดอกเบี้ย และดอลลาร์ก็ลง ทองคำตลาดจรบวก 0.42% ปิด 1,256.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่ทองคำสหรัฐล่วงหน้าส่งมอบ มิ.ย. ปิดลบ 0.2% ที่ 1,253.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)