ตำรวจตั้งข้อหา 'กักขังหน่วงเหนี่ยว' 4แท็กซี่พัทยา

ตำรวจตั้งข้อหา 'กักขังหน่วงเหนี่ยว' 4แท็กซี่พัทยา

ปัญหาแท็กซี่-อูเบอร์ พัทยาไม่จบ ตำรวจตั้งข้อหา “กักขังหน่วงเหนี่ยว” 4 แท็กซี่พัทยา หลังคนขับอูเบอร์แจ้งความดำเนินคดี ขณะที่กลุ่มแท็กซี่ให้การปฏิเสธ พร้อมเข้าร้องขอความเป็นธรรม

จากกรณีที่ นายสุรศักดิ์ คูคำ อายุ29ปี โชเฟอร์รถอูเบอร์ เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้า หน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี พร้อมนำคลิปวีดีโอแสดงหลักฐานกรณีที่ถูกกลุ่มผู้ขับขี่รถแท็กซี่จำนวนหลายรายพาคนมาปิดล้อมรถยนต์ส่วนตัวขณะจอดรับผู้โดยสารชาวต่างชาติ บริเวณถนนพัทยาสายสอง ม.5ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเข้าข่ายการกักขังหน่วงเหนี่ยวและข่มขู่ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดวันนี้ (18พ.ค.60) พล.ต.ท.จิตติ รอดบางยาง ผบช.ภาค 2 พร้อมด้วยกำลัง ได้เชิญตัวผู้เกี่ยว ข้องทั้งหมดทั้งในส่วนของผู้เสียหาย และกลุ่มรถแท็กซี่ เข้าร่วมทำการแถลงข่าว โดยระบุว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่2ซึ่งเป็นการกระทบกระทั่งกันในเรื่องทำกินระหว่างผู้ประกอบการ2ฝ่าย ซึ่งหลังเกิดเหตุก็ได้นำตัว นายสุรศักดิ์ คนขับรถอูเบอร์ มาเปรียบเทียบปรับจำนวน 1,000 บาท ในข้อหาใช้รถผิดประเภทตามกฎหมาย จากนั้นนายสุรศักดิ์ ก็ได้มาแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มคนขับแท็กซี่ โดยแจ้งว่าได้รับความเสียหายจากการสูญเสียอิสรภาพ

ทั้งนี้ทางพนักงานสอบสวนจึงได้แจ้งข้อหาผู้ที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์จำนวน 4 ราย ได้แก่ นายชลอ พุ่มเพชร อายุ39ปี นายศุภกฤต ทองปลื้ม อายุ 42 ปี นายปราโมช วัฒนศิริ อายุ29ปี และนายกฤษณ์ แสงสุวรรณ์ อายุ 42 ปี โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์ สิน และร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายและให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา309และ310โดยผู้ต้องหาทั้ง4คนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

พล.ต.ท.จิตติ กล่าวว่า ปัญหาระหว่างแท็กซี่กับอูเบอร์ เกิดขึ้นเป็นครั้งที่2ซึ่งถือว่าสร้างความเสีย หายหลายด้าน กรณีนี้ที่ผ่านมาเคยมีการเรียกประชุมผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะนี้ขึ้นอีกแต่สุดท้ายก็ยังมีปัญหาขึ้น ซึ่งจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการกวดขันมากขึ้นในการจับกุมกลุ่มรถอูเบอร์ เนื่องจากถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย ขณะที่รถแท็กซี่เองก็จะต้องปฏิบัติตนในอยู่ในกรอบเช่นกัน ทั้งตามข้อกำหนดของการให้บริการ และการละเลิกพฤติกรรมในการปิดล้อม ข่มขู่ ซึ่งหากยังฝ่าฝืนก็จะต้องดำเนินคดีเช่นกัน

อย่างไรก็ตามจากนี้คงจะต้องมีการเรียกประชุมหารือผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อขอความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังต่อไป มีรายงานเพิ่มเติมว่าในช่วงท้ายของการแถลงข่าวได้มีกลุ่มผู้ประกอบการรถแท็กซี่จำนวนกว่า20ราย เดินทางเข้าร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเรียกร้องให้มีการกวดขันจับกุมกลุ่มผู้ประกอบการรถอูเบอร์อย่างจริงจัง เนื่องจากเป็นรูปแบบการให้บริการที่ผิดกฎหมาย ขณะที่กลุ่มรถแท็กซี่ เป็นผู้ให้บริการที่มีการเสียภาษีอย่างถูกต้อง ซึ่งจากผลของการประกอบการของรถอูเบอร์ในปัจจุบัน ทำให้รายได้ของรถแท็กซี่ขาดหายไปเป็นอย่างมาก