‘มาลี’เผยยอดส่งออกไตรมาสแรกโต 22%

‘มาลี’เผยยอดส่งออกไตรมาสแรกโต 22%

มาลีกรุ๊ป แจงไตรมาสแรก ยอดขายตลาดส่งออกโต 22% ธุรกิจร่วมค้าฟิลิปปินส์เครื่องยนต์หลักดันยอด มั่นใจปีนี้โตตามเป้า 10-15%

นางสาวรุ่งฉัตร บุญรัตน์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี2560 ยอดส่งออกเติบโต 22% โดยเฉพาะจากยอดขายต่างประเทศของธุรกิจแบรนด์เติบโต 30% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการวางแผนกลยุทธ์สำหรับแต่ละประเทศที่เป็นตลาดหลักของบริษัทฯ ได้อย่างเหมาะสม

ไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทย่อยมียอดขายรวม 1,515 ล้านบาท ปรับตัวลงเล็กน้อย 1% จากการลดลงของยอดขายในประเทศของธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามสัญญาและรับจ้างผลิต (Contract Manufacturing Business: CMG) และยอดขายในประเทศของธุรกิจตราสินค้าของบริษัทฯ (Branded Business: Brand) โดยเฉพาะยอดขายกลุ่มผลไม้กระป๋องในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ยอดขายต่างประเทศยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจแบรนด์และ CMG ทั้งนี้ ถึงแม้ยอดขายโดยรวมในไตรมาสแรกปี2560 ปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่กำไรของกลุ่มบริษัทยังคงเติบโต 8% โดยมีกำไรสุทธิ 118 ล้านบาท จากการบริหารจัดการภายในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนในการดำเนินงาน

ในไตรมาสแรก ปีนี้ธุรกิจการร่วมค้าของบริษัทฯ ในประเทศฟิลิปปินส์ คือ Monde Malee Beverage Corporation (MMBC) ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนยอดขายต่างประเทศ ทั้งนี้ MMBC ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่รายการที่ 2 คือ Jelly Drink ภายใต้แบรนด์ “Jelly Vit” ในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2560 ที่ผ่านมา โดยมีกระแสตอบรับผลิตภัณฑ์ใหม่ในระดับดี

บริษัทฯมั่นใจว่าปี 2560 ยอดขายจะเติบโต 10-15% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งการเติบโตจะมาทั้งจากธุรกิจ แบรนด์และธุรกิจ CMG ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยยอดขายต่างประเทศมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าในประเทศ ซึ่งบริษัทฯ มองว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Distributor หรือพาร์ทเนอร์ในแต่ละประเทศ ในการวางแผนร่วมกัน เพื่อเลือกสรรผลิตภัณฑ์ และกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างเหมาะสมสำหรับแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นตลาดหลักของบริษัทฯ เช่น กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Countries) ในอาเซียน รวมถึงประเทศจีน เป็นต้น

นอกจากนนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงโรงงาน และเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการผลิต ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2559 ต่อเนื่องมาปี 2560 และจะแล้วเสร็จในปี 2561 โดยรวมถึงการลงทุนในเครื่องจักรสายการผลิตใหม่ เพื่อทดแทนเครื่องจักรสายการผลิตเดิม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในไตรมาส 4 ปี2560 ทั้งนี้ เครื่องจักรสายการผลิตใหม่นี้ ถือเป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในปัจจุบัน และจะสามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายขึ้น มีประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น และช่วยลดต้นทุนการผลิตสินค้า

โดยศักยภาพการผลิตที่สูงขึ้นของเครื่องจักรสายการผลิตใหม่นี้ จะเพิ่มโอกาสในการหาลูกค้ารายใหม่ หรือสินค้าใหม่เพิ่มเติมจากปัจจุบัน รวมถึงจะช่วยเพิ่มรายได้ ผลกำไร และอัตราการทำกำไรของบริษัทฯ ตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น