'อีอีซี' ดันไทยผงาด 'ฮับโลก'

นักลงทุนฮ่องกงเชื่อมั่น "อีอีซี" ชี้ภาคเอกชนฮ่องกง-จีน-ไทยร่วมมือ 2 หนุนไทยผงาดฮับโลก แนะรัฐบาลเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีจูงใจ
กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์ของไทย และสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (เอชเคทีดีซี) ร่วมจัดงานสัมมนาที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี เมื่อวานนี้ (8 พ.ค.) ในหัวข้อหลักเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการลงทุนไทย-ฮ่องกง-นครเซี่ยงไฮ้ ภายใต้ยุทธศาสตร์หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง(One BeltOne road)ของทางการจีน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คณะผู้บริหารระดับสูงภาครัฐและเอกชนเขตเศรษฐกิจพิเศษฮ่องกงและนครเซี่ยงไฮ้มาเข้าร่วม
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในอนาคตฮ่องกงจะมีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจมากขึ้น และนักลงทุนทั่วประเทศกำลังจับตามองการประชุมนโยบายOne BeltOne roadของจีน ที่กรุงปักกิ่ง ในช่วงเดือน พ.ค.นี้ อย่างมาก และไทยจะส่ง 6 รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเข้าร่วมรับฟังข้อมูล เพราะนโยบายดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งโลกในปัจจุบันยังเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงโดยเฉพาะการดำเนินนโยบายของสหรัฐ ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของทั่วโลก
ดังนั้น ไทยพร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายดังกล่าวของจีน เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกัน โดยในปี 2559 ฮ่องกงนำเข้าสินค้าจากไทย 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 4 แสนล้านบาท ขณะที่นักลงทุนฮ่องกงที่เข้ามาลงทุนในไทยปีที่ผ่านมามีมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท นับเป็นนักลงทุนอันดับ 5 และ ไตรมาส แรกปีนี้ มีมูลค่าการลงทุนสูงเป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น และเชื่อว่าปีนี้ตัวเลขการลงทุนของฮ่องกงที่มาไทยจะสูงขึ้นแน่นอน
ไทยพร้อมดันอีอีซีเชื่อมทางสายไหม
นายสมคิด กล่าวว่ารัฐบาลจะส่งเสริมให้อีอีซีเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อนโยบาย One BeltOne road ของจีน ซึ่งจะเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางร่วมมือรถไฟไทย-จีน ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว รวมถึงรถไฟทางคู่ ท่าทียบเรือมาบตาพุด เฟส 3 การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ท่าเทียบเรือจุกเสม็ด เป็นต้น อีกทั้งยังต้องลงทุนดิจิทัลอีโคโนมีเพื่อเชื่อมโยงกับจีนด้วยระบบอินเทอร์เน็ตพลัส
รวมถึง รัฐบาลจะผลักดันให้เกิดการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง (ETO)ในไทย เพื่อใช้ไทยเป็นศูนย์ในการประชุมและร่วมมือกำหนดยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะทำให้นักลงทุนฮ่องกงได้สิทธิประโยชน์จากประเทศในแถบ ซีแอลเอ็มวีและเออีซีตามกรอบเอฟทีเอ ฮ่องกง-อาเซียนในอนาคต
“ฮ่องกง เปรียบได้กับหัวของมังกรที่จะเชื่อม11เมืองในฮ่องกง เชื่อมกับจีนมายังอาเซียน นับว่าฮ่องกงเป็นหัวหอกในการลงทุนในอาเซียน โดยมีไทยเป็นศูนย์กลางเชื่อมภูมิภาค ซึ่งการเข้ามาของแต่ละประเทศจะไม่ใช่แค่การลงทุน แต่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของไทยด้วย”นายสมคิดกล่าว
ชี้ไทยมีโอกาสเป็นฮับสำคัญของโลก
นายโจว หยาจุน รองอธิบดีแห่งฮ่องกงและมาเก๊า สำนักกิจการแห่งรัฐบาลประชาชนเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า ทางการจีนมีความเชื่อมั่นว่าโครงการพัฒนาด้านต่างๆของไทย ทั้งระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(อีอีซี) และอุตสาหกรรมแห่งอนาคตจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเศรษฐกิจแห่งสำคัญในภูมิภาค ซึ่งหากจับมือเป็นพันธมิตรกับเอกชนจีนและฮ่องกง ที่มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจโลจิสติกส์แล้ว ก็จะยิ่งทำให้ไทยเป็นฮับแห่งสำคัญของโลกในไม่ช้า
ด้านนายวินเซนต์ โล ประธานเอชเคทีดีซี กล่าวว่า ฮ่องกงมีความยินดีที่จะสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างกันกับไทยอย่างเต็มที่ ซึ่งที่ผ่านมา ฮ่องกงอำนวยความสะดวกในภาคกลุ่มอุตสาหกรรมวิสาหกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ของไทยอย่างเต็มที่มาโดยตลอด ขณะเดียวกันนักลงทุนชาวฮ่องกงก็สนใจที่จะเข้ามาลงทุนในกิจการของไทยด้วยเช่นกัน
เตรียมเปิดเจรจาเอฟทีเอฮ่องกง-อาเซียน
นายโลเสริมว่า ขณะนี้ฮ่องกงยังมีแผนที่จะเปิดการเจรจาในลักษณะการเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างฮ่องกงและสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งฮ่องกงจะเป็นศูนย์กลางในกลุ่มฮ่องกงและจีน ส่วนไทยจะเป็นศูนย์กลางในกลุ่มอาเซียนโดยเฉพาะในกลุ่มกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (ซีแอลเอ็มวี) จึงคาดว่าน่าจะมีความชัดเจนร่วมกันได้ในอนาคต
นอกจากนี้ ประธานเอชเคทีดีซีระบุว่า ฮ่องกงจะเคลื่อนย้ายทรัพยากรทั่วโลกสำหรับการลงทุนไปยังไทย และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยผ่อนคลายอุปสรรคด้านภาษี ซึ่งเป็นวิธีสำคัญในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศ
“หากเราลงทุนในประเทศไทยและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของโลก และหากมีประโยชน์ทางภาษีสำหรับนักลงทุน พวกเขาก็จะอยากเข้ามาลงทุนมากขึ้น เหมือนกับจีนแผ่นดินใหญ่ช่วงที่เปิดประเทศครั้งแรก ก็เสนอประโยชน์ทางภาษีมากมาย ดังนั้น ผมจึงคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยดึงดูดเงินทุนจำนวนมหาศาลเข้าประเทศไทย”
ระบุโครงสร้างพื้นฐานพร้อมหนุนอีอีซี
ด้านนายถัง เหว่ย รองประธานบริษัทเซี่ยงไฮ้ คอนสตรัคชัน กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทของเขาจะดึงศักยภาพความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างมาช่วยพัฒนาในเขตเศรษฐกิจตะวันออกของไทย และมั่นใจว่าหากไทยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีอีซีก็จะเป็นเขตเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย
นายมอร์ริส เฉิง ประธานบริษัทเอ็มทีอาร์ อะคาเดมี ในเครือเอ็มทีอาร์ คอร์เปอเรชันของฮ่องกง กล่าวเน้นย้ำถึงการแบ่งปันความร่วมมือในทุกภาคส่วนระหว่างไทยกับเอกชนจีน ฮ่องกง และมาเก๊า ซึ่งจะช่วยให้โครงการพัฒนาของไทยมมีความก้าวหน้าไปได้อีกมาก
ขณะที่นายนิโคลัส โฮ รองกรรมการผู้จัดการบริษัทโฮ แอนด์ พาร์ทเนอร์ อาร์คิเทคท์ส เอนจิเนียร์ส แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ คอนซัลแทนท์ ลิมิเต็ดในฮ่องกง ระบุว่า มีความเชื่อมั่นว่าไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะหลังจากพัฒนาอีอีซีแล้ว และบริษัทของเขามีความเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม ซึ่งคาดว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมบริการในเขตเศรษฐกิจของไทยได้
คาดอีอีซีขยายพื้นที่ถึง7หมื่นไร่
ด้านนายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่าตามแผนของอีอีซี คาดว่า ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้าจะมีความต้องการใช้พื้นที่เพื่อการลงทุนใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายกว่า 70,000 ไร่ ประกอบด้วย อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 18,000 ไร่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและหุ่นยนต์กว่า 7,200 ไร่ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร การเกษตรเทคโนโลยีชีวภาพ เชื้อเพลิงชีวภาพ 21,500 ไร่ อุตสาหกรรมการบิน 500 ไร่ อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ 20,000 ไร่ และอุตสาหกรรมดิจิทัลและการแพทย์ครบวงจร 3,000 ไร่
ในช่วงของการพัฒนาโครงการอีอีซี ระหว่างปี 2560-2565 ซึ่งใช้เงินลงทุนสูงถึง 1.5 ล้านล้านบาทนั้น รัฐบาลหวังว่าจะสามารถยกระดับอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยจาก 3% ไปสู่ระดับ 5% ต่อปี และสามารถสร้างงานใหม่ปีละ 100,000 อัตรา สร้างฐานภาษีใหม่ปีละ 100,000 ล้านบาท ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ได้ปีละ 400,000 ล้านบาท อีกทั้งจะเป็นก้าวย่างที่สำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุค ไทยแลนด์ 4.0 รวดเร็วยิ่งขึ้น
“สมคิด”เตรียมเยือนญี่ปุ่นดึงลงทุน
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การลงนามร่วมมือระหว่างไทยกับองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง(HKTDC)เพื่อศึกษาแนวทางความร่วมมือพัฒนาอีอีซีคาดว่า 1-2 เดือนจากนี้ จะเริ่มเห็นแผนความร่วมมือที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือน มิ.ย.นี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เตรียมนำคณะนักลงทุนเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อชักชวนให้เกิดความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชนของ 2ประเทศ ซึ่งคล้ายกับลักษณะที่ดำเนินการกับฮ่องกง
“ญี่ปุ่น เป็นประเทศเป้าหมายที่ 2 ที่รัฐบาลหวังจะให้เกิดการลงนามเอ็มโอยูพัฒนาอีอีซี ร่วมกันเช่นเดียวกับที่ดำเนินการกับฮ่องกง เป็นประเทศแรก ซึ่งขณะนี้ทูตทั้ง 2 ประเทศอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกัน” นายอุตตม กล่าว







