โรงแรม-อสังหาฯลุยปักธงต่างแดนบริหารพอร์ตหนีแข่งดุ

โรงแรม-อสังหาฯลุยปักธงต่างแดนบริหารพอร์ตหนีแข่งดุ

กลุ่มธุรกิจโรงแรม และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นอีกสองกลุ่มทุน ที่เดินหน้าปักธงลงทุนในต่างประเทศต่อเนื่อง เป็นไปเพื่อบริหารพอร์ตรายได้  ลดสัดส่วนรายได้ในประเทศที่ค่อนข้างอ่อนไหว จากปัจจัยในและต่างประเทศ ขณะที่ในแง่ผลตอบแทนการลงทุนในบางประเทศดีกว่าไทย 

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าปัจจุบัน ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล บริหารโรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 29 แห่ง มีโรงแรมที่เป็นเจ้าของเอง 10 แห่ง แบ่งเป็นในไทย 8 แห่ง และต่างประเทศ 2 แห่ง และในอีก 3-4 ปีข้างหน้าจะมีเพิ่มขึ้นรวมทั้งหมดกว่า 70 แห่ง ทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, จีน, แอฟริกา, ตะวันออกกลาง, ยุโรปและตลาดสำคัญอื่น ๆ

ปัจจุบันมีโครงการอยู่ระหว่างการพัฒนา 46 แห่ง ทำให้รวมแล้วเข้าไปขยายแบรนด์ภายใต้เครือดุสิตแล้วกว่า 21 ประเทศ ช่วงไตรมาสแรกดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ลงนามในสัญญากับคัลเลอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารเชนโรงแรมอี โฮเท็ล ในญี่ปุ่น เพื่อเปิดบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อดุสิตคัลเลอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อหาโอกาสจัดตั้งโรงแรมภายใต้แบรนด์“ดุสิต”รูปแบบแฟรนไชส์ มองโอกาสทั้งการรับบริหารโรงแรม รวมถึงโรงเรียนการโรงแรม ที่เป็นจุดแข็งของธุรกิจด้วย

กระจายเสี่ยงรายได้เพิ่มลงทุนอก

“ดุสิตฯวาง 2 กลยุทธ์หลักสำหรับการสร้างผลกำไรและเติบโตอย่างยั่งยืน คือ การสร้างสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุนไทยและต่างประเทศ และการขยายธุรกิจจำนวนโรงแรมให้มากขึ้น”

ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงของผลประกอบการรวม จากที่ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ในประเทศสูงถึง 70% ช่วง3 ปีจากนี้มีเป้าหมายที่ขยายธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศให้มีสัดส่วนกว่า 50% ของพอร์ตการลงทุนโดยรวม ซึ่งการเข้าสู่ตลาดที่สำคัญอย่างญี่ปุ่น ในรูปแบบแฟรนไชส์ จะช่วยทำให้ไปถึงเป้าหมายนี้ได้ นอกจากนี้จะช่วยให้มีห้องพักในเครือเพิ่มขึ้น“เท่าตัว”ตามที่วางแผนไว้ จากปัจจุบันมีอยู่ราว 7,200 ห้อง รวมทั้งเตรียมนำแบรนด์“ปริ๊นเซส”ไปขยายในรูปแบบแฟรนไชส์กับตลาดจีนเป็นลำดับต่อไป มีเป้าหมาย 20-40 แห่งภายใน 3 ปี ก่อนจะรุกไปยังอินเดีย และเกาหลีใต้ต่อไป

ออนิกซ์”ผุดโรงแรม99แห่งปี67

นายปีเตอร์ เฮนลีย์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป กล่าวว่าปีนี้วางเป้าหมายรายได้ไว้ 4,100 ล้านบาท เติบโต 10% โดยวางยุทธศาสตร์ระยะที่ 2 ภายใต้ชื่อ “Delivering Success” มุ่งการขยายไปต่างประเทศต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีการดำเนินงานทั้งสิ้นแล้วใน 7 ประเทศ ได้แก่ ไทย, จีน, ฮ่องกง, ศรีลังกา, มัลดีฟส์, บังกลาเทศ และกาตาร์ ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป มีโครงการที่จะทยอยเปิดในอีก 6 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย, เวียดนาม, ลาว, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย และอินเดีย

ทั้งนี้ วางเป้าหมายระยะยาวปี 2567 จะมีโรงแรม 99 แห่ง ขณะนี้มีโรงแรมที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว 42 แห่ง รวมกว่า 6,622 ห้อง มีโครงการอยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 25 แห่ง ส่วนจำนวนโรงแรมในและต่างประเทศที่เปิดแล้วมี 50% เท่ากัน แต่เมื่อเทียบสัดส่วนรายได้ในไทยขณะนี้ยังสูงกว่าเพราะมีโรงแรมที่เป็นเจ้าของกิจการอยู่มาก แต่ในปี 2561 คาดว่าจะปรับสัดส่วนจำนวนโรงแรมจากต่างประเทศเป็น 70% ส่งผลให้รายได้ในปี 2561 รายได้จากการลงทุนและรับบริหารโรงแรมต่างประเทศจะเพิ่มจาก 30% เป็น 40%

ศุภาลัย”ลุยโปรเจคนอก

นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในตลาดต่างประเทศ ว่า ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานในตลาดต่างประเทศด้วย 2 ปัจจัย ประกอบด้วย การดำเนินงานเพื่อขยายกิจการ เพิ่มยอดขาย รวมถึงเพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ เนื่องจากมองว่าแต่ละประเทศมีวงจร(cycle)ความเสี่ยงที่แตกต่างๆกัน เช่น ไทยที่มีความเสี่ยงเรื่องภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ทั้งนี้ มองว่าตลาดต่างประเทศเป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะหลายประเทศในอาเซียนที่เศรษฐกิจขยายตัวดี ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอีกมาก โดยขณะนี้้บริษัทก็ยังสนใจลงทุนธุรกิจอสังหาฯในต่างประเทศเพิ่มเติม เช่น ฟิลิปปินส์ แม้ว่าปัจจุบันได้เข้าไปลงทุนสำนักงานให้เช่าแล้ว และยังสนใจลงทุนในอินโดนีเซีย เพราะความต้องการอสังหาฯของตลาดทั้ง 2 ประเทศนี้ยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก

ขณะเดียวกัน ภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจของ 2 ประเทศนี้ก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างดีกว่าไทย และผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่ดีก็เป็นอีกเหตุผลที่จูงใจให้บริษัทเข้าไปลงทุนในตลาดนี้ อย่างไรก็ดี ความชัดเจนของการเข้าไปลงทุนตลาดต่างประเทศในโปรเจคที่จะเกิดขึ้นยังอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ และเป็นไปได้ทั้งแบบเข้าไปลงทุนเองและร่วมทุน

ในปัจจุบันศุภาลัย มีธุรกิจในต่างประเทศ 2 แห่ง คือ ออสเตรเลีย ที่ดำเนินโครงการจัดสรรและที่ดินจัดสรร และฟิลิปปินส์ ที่ดำเนินงานในรูปแบบให้เช่าอาคารสำนักงาน 40 ชั้น ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนทั้ง 2 ประเทศนี้รวมกันกว่า 3,000 ล้านบาท และมีมูลค่าโครงการรวมกันไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท โดยจากการเข้าไปลงทุนอสังหาฯ 2 ประเทศนี้ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีภาพรวมที่น่าพอใจ โดยเฉพาะในฟิลิปปินส์ที่มีอัตราเช่าพื้นที่สำนักงานเต็ม100% 

นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนจากการเช่า(Rental yield) สำนักงานในฟิลิปปินส์ก็สูงกว่าไทย หรือสูงสุดอยู่ที่ 9% เมื่อเทียบกับยีลด์ในไทย อยู่ที่ประมาณ 6%

ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วนราว 5% ของรายได้รวมในพอร์ต ซึ่งถือว่ายังมีสัดส่วนไม่มากนัก เพราะบางโปรเจคที่ต่างประเทศเพิ่งจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ 

สิงห์ เอสเตท”หนีตลาดแข่งดุ

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทมองเห็นถึงความสำคัญและโอกาสการลงทุนในตลาดต่างประเทศค่อนข้างมาก โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาพรวมตลาดภายในประเทศในตอนนี้ที่แข่งขันกันค่อนข้างสูง ทำให้ตลาดต่างประเทศเป็นอีกทางเลือกที่บริษัทสนใจดำเนินงาน โดยบริษัทยังคงมุ่งเน้นการลงทุนในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพของตลาดท่องเที่ยวดี ซึ่งถือเป็นตลาดที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วโลก รวมถึงมุ่งเน้นโครงการที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าและผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับภาพรวมการลงทุนในต่างประเทศ ในเชิงปัจจัยบวกมองว่าจะมาจากความชัดเจนด้านการเมืองของประเทศในยุโรปที่มีการเลือกตั้ง และมีนโยบายต่างๆชัดเจน ซึ่งปัจจัยนี้จะช่วยส่งเสริมและสร้างความมั่นด้านการท่องเที่ยวและส่งผลมาถึงภาคธุรกิจที่เติบโตมากขึ้นด้วย ส่วนปัจจัยลบบริษัทยังคงให้ความสำคัญอย่างมากเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

ขณะที่แผนงานและเป้าหมายการดำเนินงาน และการลงทุนในต่างประเทศนั้น สิงห์ เอสเตท ยังคงเป้าหมายเดิม คือ การขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด และสร้างการเติบโตให้บริษัทอย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมาได้ลงทุนหลายโปรเจคในตลาดต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนกับโรงแรมที่สหราชอาณาจักร 29 แห่ง ตลอดจนยังคงเป้าหมายรวมการลงทุนของบริษัทให้มีรายได้ธุรกิจอสังหาฯ รวมอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท ภายในปี 2563