ผ่าผังสมองเจ้าของ “ช่างชุ่ย”

ผ่าผังสมองเจ้าของ “ช่างชุ่ย”

อาณาจักรแห่งศิลปะแห่งใหม่ที่ผสมผสานความสร้างสรรค์กับธุรกิจเข้าด้วยกันอย่าง... โปรดเติมนิยามเอาเอง เมื่อสูตรสำเร็จไม่มีอยู่ในที่แห่งนี้ เพราะแค่ความกล้านั้นยังไม่พอ แต่ต้องอาศัยลูกบ้าของคนคนนี้ด้วย

ตอนที่ได้เห็นภาพแรกๆ ของ “ช่างชุ่ย” นั้น มาจากศิลปินท่านหนึ่งที่เราเข้าใจไปเองว่านี่คือโปรเจคศิลปะครั้งใหม่ของเขากระมัง แต่เมื่อเรื่องราวค่อยๆ ถูกปล่อยออกมา ภาพของช่างชุ่ยก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่กระนั้นเราก็ยังไม่สามารถนิยามได้ว่าควรจะเรียกที่นี่ว่าอะไรดี ตามอย่างคนอื่นเขาก็ว่านี่คือ “อาณาจักรแห่งศิลปะ” ตามคำของเจ้าของก็ว่านี่คือ “กับดักระเบิดทางความคิดสร้างสรรค์” เพราะพี่ลิ้ม – สมชัย ส่งวัฒนา เจ้าของโครงการนี้ที่เรารู้กันดีว่านอกจากจะเป็นผู้ก่อตั้ง Fly Now แล้ว เขายังเป็นผู้หนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนวงการสร้างสรรค์หลายแขนงในเมืองไทย ผ่าผังสมองเจ้าของ “ช่างชุ่ย”

ช่างชุ่ย คืออะไร ตอนนี้เราคงหาอ่านได้ไม่ยากแล้ว เพราะแม้จะยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ความแปลกก็ยั่วให้เกิดการติดตามไปทำเรื่องราวออกมา สำหรับจุดประกายแล้ว เราใคร่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในสมองของชายผู้สั่งสมประสบการณ์มาอย่างเข้มข้น แผนผังของโครงการช่างชุ่ย ซึ่งมีเครื่องบินปลดประจำการลำยักษ์วางตระหง่านเป็นพระเอกนั้น จำลองแผนผังในสมองของเขาออกมาหรือเปล่า

“โครงการนี้เป็นความรู้สึกของภาวะสำนึกอะไรบางอย่าง ที่เรารู้สึกว่ากับประเทศนี้ ตัวเรานี้จะทำอะไรดี ในยามที่เราก็ทำงานมาเยอะแล้ว 35 ปีสำหรับแบรนด์ Fly Now อายุก็เริ่มมากขึ้น แต่ใจยังหนุ่ม 100 เปอร์เซ็นต์ น่าจะทำอะไรให้เกิดพลังงานในชีวิต ก็มาคิดว่าทำอะไรดี เราน่าจะสร้างพื้นที่ที่ทำอย่างไรให้ไม่ซ้ำ ให้คนรู้สึกเข้ามาแล้ว... ผมถามคนที่มาว่ารู้สึกอย่างไร บางคนบอกว่างง บางคนบอกไม่เก็ท ผมก็บอกถูกแล้ว ถ้าเขาไม่งง ไม่เก็ทผมจะผิดหวังมาก”

ความงงที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่อะไร?

“การค้นหา ถ้าน้องจะมีแฟนสักคน ถ้าผู้ชายคนนี้ไม่มีอะไรน่าค้นหา จบละ ถ้าเขาน่าค้นหาไปตลอดชีวิตเลย ก็จะมีเสน่ห์ต่อกัน การค้นหานั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น”

การที่จะน่าค้นหาไปชั่วชีวิตแสดงว่าเสน่ห์ของคุณต้องเปลี่ยนไปตลอด

“ผมเชื่อว่าผมมีตัวตน แต่ตัวตนของผมก็จะถูกดีไซน์และเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ถามว่าจะเปลี่ยนแปลงทุกกี่ปี ผมไม่มีคำตอบ แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกได้คือ ผมควรจะทำอะไร ผมชอบเฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ทั้งประเทศนี้ โลกนี้ จะมีบางสิ่งบางอย่างที่กระตุ้นให้เราอยากทำ ช่างชุ่ย ก็คือความรู้สึกหนึ่งที่เราอยากทำให้เป็นปรากฏการณ์”

ผ่าผังสมองเจ้าของ “ช่างชุ่ย”

ชื่อ “ช่างชุ่ย” ฟังดูช่างขัดแย้ง เหมือนจงใจให้เกิดความสมบูรณ์แบบในความไม่สมบูรณ์แบบหรือเปล่า?

“ความสมบูรณ์แบบมีจริงๆ หรือเปล่า แม้แต่พระพุทธเจ้ายังบอกว่ามันเป็นเรื่องโกหก เรื่องราวของคนบนโลกนี้ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ คนที่บอกว่าตัวเองเพอร์เฟ็กต์ เขากำลังไล่จับเงาตัวเองอยู่ ซึ่งไม่มีทางจับได้หรอก เมื่อเราตระหนักตรงนี้ได้ก็จะรู้ว่ามันไม่มี พี่เองเป็นคนที่ใฝ่หาหนทางที่จะทำอย่างไรให้เพอร์เฟ็กต์ แต่ยิ่งทำเราก็จะเหมือนคนบ้า เพราะตัวเราเองก็ไม่เพอร์เฟ็กต์ เป็นความมุ่งหวังและความปรารถนาซึ่งเป็นทุกข์ คนที่เห็นเราเก่ง เขาก็จะบอกว่าเราเพอร์เฟ็กต์ แต่ก็จะมีคนที่เก่งกว่าบอกว่าคุณชุ่ย ผมก็คิดว่า เออ แล้วไงวะ คนที่ด่าผมว่าชุ่ย ก็ต้องมีคนด่ามันว่าชุ่ย ฉะนั้น คำนี้ก็เลยเป็นเหมือนเครื่องหมายคำถาม ผมคงไม่กล้าตั้งชื่อที่นี่ว่า ช่างสมบูรณ์ ช่างศิวิไลซ์ ช่างเป็นดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ ผมไม่กล้า แต่ผมกล้าที่ตั้งชื่อที่นี่ว่าช่างชุ่ย เพราะอย่างน้อยมันทำให้คนได้คิด ถึงแม้ว่ามันจะชุ่ย เราก็ยิ้มได้ เขาก็ยิ้มได้ในความชุ่ยของเรา บางอย่างถึงจะช่างชุ่ย แต่ก็เป็นมาตรฐานที่สูงกว่าที่เขาคิดไว้ ความรู้สึกและปฏิกิริยาเมื่อคนเข้ามายังที่แห่งนี้ ก็คงจะเกิดผลอะไรบางอย่างกับสังคม

“และต้องเตรียมตัวเตรียมใจว่าจะต้องมีคนตำหนิเรา ชมเรา หรืออะไรต่างๆ เราต้องตั้งใจรับฟังคนพูดถึงช่างชุ่ยของเราว่าไม่ดี เพราะอะไร หรือจะมีคนมานั่งสรรเสริญก็ต้องรับฟัง ทั้งสองอย่างนี้ พี่ต้องไตร่ตรองว่าพี่ควรจะเชื่อประเด็นไหน ถ้าเขามาชมก็เชื่อ เขามาติเราก็เชื่อ แสดงว่าเราไม่มีปัญญาอะไรเลยเหรอที่จะแยกแยะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ชีวิตเราก็เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ของคนรอบข้างเกินไป”

คุณมีสิ่งที่เป็นความเชื่อของชีวิตไหม

“คนเราต้องมีความเชื่อนะ ช่างชุ่ยเป็นเรื่องของความเชื่อที่เกิดจากพลังของชีวิตเรา ว่าเราอยากทำชีวิตแบบนี้ แล้วความเชื่อเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เอาเป็นว่าเกิดมาจากความรักก็แล้วกัน ผมเป็นคนที่มีความรักไม่มีที่สิ้นสุด ผมมีครอบครัวอันเป็นที่รัก ผมทำงานในฐานะผู้ก่อตั้ง Fly Now ผมก็มีแบรนด์ มีคนของ Fly Now อันเป็นที่รัก ผมอยู่ในประเทศนี้ซึ่งเป็นที่รัก คนไทยอันเป็นที่รัก ทั้งหมดอยู่ในหัวใจของผม พอผมโตขึ้น ผมก็พยายามใช้ปัญญาทำให้ความรักของเราไม่เพ้อเจ้อ เพราะถ้าคุณมีความรัก โดยไม่มีปัญญา ความรักของคุณจะทำลายคนที่คุณรัก และอาจทำลายตัวคุณเองด้วย ขั้นต่อไปคือคุณจะทำงานให้ความเชื่อของคุณแผ่กระจายออกไป ถ้าคุณเชื่อเรื่องนั้นอย่างถูกต้องแล้ว คุณก็สามารถสร้างให้ความเชื่อนั้นสร้างสรรค์ให้กับคนหมู่มาก ผมว่ามันเป็นความสุข จริงอยู่ ในการที่เราจะทำอะไรแบบนี้ มันต้องใช้ความมุ่งมั่นที่แรงกล้า มีความหวังในชีวิต จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้”

ผ่าผังสมองเจ้าของ “ช่างชุ่ย”

แล้วความเชื่อที่อยู่ภายใต้โครงการนี้คือ

“เราคิดว่าจะทำอย่างไรให้มีพื้นที่แห่งความสร้างสรรค์ เรากำลังอยู่ในโลกของทุนนิยม ในเนื้อแท้ของพี่ก็เริ่มจากทุนนิยม แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่แห่งทุนนิยม เป็นปัญญานิยม เงินเป็นเรื่องรอง จำเป็น แต่ไม่สำคัญที่สุด ปัญญามนุษย์เป็นเรื่องสำคัญที่สุด คือจะทำอย่างไรให้ปัญญาของมนุษย์ในแต่ละเจน เจนเล็กสุดอย่างเจน Z ไปจนถึงอย่างพี่คือเจนเบบี้บูม ไปจนถึงรุ่นพ่อคือยุคสงครามโลก เราอยากจะเชื่อมโยงคนเหล่านี้ให้อยู่ในสังคมเดียวกัน ปฏิกิริยาของสังคมที่มีการพูดจาเข้าหากัน จริงใจ พีเชื่อว่าจะเป็นเหตุที่ส่งผลให้เกิดความสวยงามขึ้น”

ไม่เชื่อในช่องว่างระหว่างวัย?

“ไม่เชื่อหรอก ถ้าเกิดเชื่อ ต้องบอกว่ามันเสียโอกาสดีๆ ในชีวิตนะ เช่น ถ้าเราเชื่อว่าเราเก่งที่สุด เราเชื่อว่าลูกน้องเก่งสู้เราไม่ได้ เราเชื่อว่าเด็กจบใหม่ก็ยังคงเป็นเด็ก ก็เสียโอกาสที่จะเรียนรู้นะ บางครั้งในวงสนทนาผู้ใหญ่ชอบนินทาเด็ก เราไปคุยกับเด็กก็เห็นเด็กนินทาผู้ใหญ่ ถามจริงๆ คุณควรจะโทษใคร คือถ้าผู้ใหญ่นินทาเด็ก ไม่ถูกนะ เพราะคุณเคยเป็นเด็กมาก่อน ถ้าเด็กนินทาผู้ใหญ่ เราต้องสอนเขา แต่อย่าโกรธเขา แล้วพี่เชื่อในพลังของการขับเคลื่อนว่า เจนใหม่ๆ นี่คือกำลังสำคัญ เราเองก็เคยเป็นคนที่เป็นเจนใหม่ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว แล้ววันนี้เราก็อยู่ในเจนที่ไม่ใช่เจนใหม่แล้ว แน่นอน เรามีองค์ความรู้ มีประสบการณ์มา 30 - 40 ปี แต่เรื่องที่เราต้องเรียนรู้ให้มากก็คือเรื่องราวของเด็กรุ่นใหม่ และเรื่องราวในอดีตที่ต้องค้นหาไปก่อนที่เราจะเกิด ถ้าคุณมองเห็นเรื่องเก่า คุณต้องมองเห็นอนาคตซึ่งเป็นเรื่องใหม่ และทุกครั้งที่คุณเฝ้าสังเกตเรื่องใหม่ คุณก็มักจะมองเห็นอดีตอยู่เสมอว่าเรื่องนี้จริงๆ แล้วเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ว่าใครล่ะที่จะเล่าเรื่องใหม่ สร้างอะไรใหม่ๆ ให้เกิดความร่วมสมัยได้”

แสดงว่ายังไม่คิดเรื่องการเกษียณใช่ไหม

“เคยคิดว่าจะเกษียณ แต่ถามว่าเกษียณแล้วมันดีอย่างไร คือเรามีชีวิตที่ได้ทำงานทุกวันมันดี ได้ทำงานที่ท้าทาย เจออุปสรรคปัญหาพี่ว่าเป็นโจทย์ที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นนะ แต่ถ้าชีวิตเราราบเรียบเหมือนกันทุกวัน มันจะมีอะไรที่ทำให้เราโตขึ้นล่ะ เช่นเดียวกัน ถ้ารีไทร์แล้วเราไม่มีการงานที่เหมาะสมสำหรับการรีไทร์ ก็เท่ากับเราตาย เมื่อเราคิดอย่างนี้ได้ เราก็เลือกที่จะทำงานให้สมกับวัย สมกับปัญญาไปตลอดเท่าที่ชีวิตเราจะหาไม่ ชีวิตคนเรามันสั้นจริงๆ นะ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วบนโลก ไม่รู้จะพูดว่าเป็นหน่วยเล็กขนาดไหน เราเลยคิดว่ามันสนุกจริงๆ ที่เราได้ทำขึ้นมา ให้อิสระกับชีวิตอย่างมีปัญญา อย่างคนที่มีประสบการณ์ แต่ถึงจะมีประสบการณ์แต่เราก็ต้องน้อมรับข้อผิดพลาดในชีวิตเสมอ ทุกสิ่งที่ผิดพลาด คือครูบาอาจารย์ของพี่”

ผ่าผังสมองเจ้าของ “ช่างชุ่ย”

ช่างชุ่ยอาจสะดุดตาด้วยสไตล์จัด แต่จริงๆ แล้วเรารู้สึกว่ามันเกิดจากประสบการณ์อันเข้มข้น

“มีคนถามว่าคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าคุยกับศิลปินเขาอาจบอกว่าคิดตั้งแต่เกิด ผมก็เคยคิดว่าศิลปินคนนี้ขี้โม้จัง แต่เพิ่งมาเข้าใจ เพราะผมหลงใหลเครื่องบินมาตั้งแต่ 6 - 7 ขวบ ผมมากรุงเทพฯ แล้วอากงผมก็พาผมไปซื้อเครื่องบิน ผมดีใจมากเลย ผมใส่ถ่านแล้วมันวิ่งแล้วมีไฟกระพริบๆ บ้านใกล้เรือนเคียงก็มาดูกัน เรารู้สึกเป็นพระเอกมากเลย ทั้งหมดที่เกิดขึ้นคือความรู้สึกที่อยู่ในใจลึกๆ ตั้งแต่เราเกิด จนถึงวันที่เราบ่มเพาะสร้างพื้นที่ตรงนี้ขึ้นมา พี่เป็นคนต่างจังหวัด พี่โตมากับสังกะสี โตมากับหน้าต่างแบบนี้ พื้นที่เป็นแบบนี้ กับเสื่อแบบนี้ เวลาเราเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วเรารู้สึกว่าอุ่นน่ะ ไม่ได้โหยหาอดีตนะ แต่อดีตก็เป็นเรื่องที่สวยงาม เป็นความทรงจำที่ดี ถ้าเราเอาเรื่องอดีตกับสิ่งที่เป็นอนาคตมาเชื่อมโยงกัน มันจะเกิดอะไรขึ้น ยังไม่มีคำตอบ แต่น่าเฝ้ารอคำตอบ”

ถ้าช่างชุ่ยเปิดแล้ว เราจะเห็นคุณเดินไปเดินมาในนี้ตลอดไหม

“เจอ ถ้ามันยังไม่สมบูรณ์ เราจำเป็นต้องเดิน ยังไงก็ต้องเดิน แต่ถ้าถึงเวลาที่หยุดเดิน น้องจะไม่เห็นพี่เดินเลย พี่จะหายไปเลย คือเราทำตรงนี้เพื่อที่จะบอกว่า เราไม่ได้ทำคนเดียว มีคนช่วยกันทำ แล้วเราก็เฝ้าดูอยู่ห่างๆ แล้ววันหนึ่งที่เขาทำได้ เราก็ไปเลย ไปทำอย่างอื่น”

ไม่หวงโครงการที่ฟูมฟักมานานหรือ

“ไม่มีอะไรที่เป็นของเราหรอก ชีวิตยังไม่เป็นของเราเลย อย่าเชื่อว่ามันเป็นของเรา ต้องเชื่อว่าชีวิตต้องเดินทาง ต้องค้นหาสิ่งใหม่ ทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ แล้วก็จูงคนมาทำสิ่งนั้นต่อ ถ้าเขาไปได้ เราจะจูงต่อไหม หรือให้เขาทำเรื่องนั้นด้วยปัญญาเขา ปัญญาเราที่จะช่วยซึ่งกันและกัน จงอย่าเชื่อว่าเราต้องยึดติดกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าคุณยึดติดมากขึ้นเท่าไรคุณจะเป็นคนที่ชีวิตคุณจบแล้ว”

นี่เป็นอีกสารหนึ่งหรือเปล่าที่อยากสื่อผ่านโครงการนี้?

“พี่ว่าทุกการกระทำคือการสื่อสารหมด ไม่ว่าการสื่อสารนั้นจะทำปฏิกิริยากับผู้รับหรือเปล่า นี่เราก็กำลังสื่อสารอยู่ สื่อสารแล้วอาจจะหายไปในอากาศก็ได้ แต่ถ้าเรื่องราวของเรามันน่าสนใจ เขาก็จะคิดตาม แต่สำหรับบทนี้ ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรยังไม่มีคำตอบ ซึ่งมันก็น่าสนุกตรงนี้แหละ”