'ดีดับบลิว' เม.ย.ซื้อขายวูบ

ภาพรวมการซื้อขายดีดับบลิวเดือน เม.ย.วอลุ่มหดเหลือ 3.6 หมื่นล้านบาท ตลาดหุ้นทรงตัว ด้านบล.บัวหลวง ประเมินการแข่งขันดุ คู่แข่งในตลาดเพิ่ม พร้อมรับมือหวังรักษาส่วนแบ่งอันดับ1ของอุตสาหกรรม  

ภาพรวมการซื้อขายใบสำคัญแสดงอนุพันธ์ในเดือนเม.ย.อยู่ที่36,896.33 ล้านบาท โดยเป็นทิศทางที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนที่ 52,694.69 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมการซื้อขายตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 203,753.98 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีหุ้นเดือนเม.ย.ลดลง 0.53%

นายบรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมการซื้อขายดีดับบลิวในช่วงที่ผ่านมา มีมูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดโดยรวม แต่หากพิจารณาสัดส่วนต่อมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ระดับ 6-7 % ของมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม การซื้อขายในอนาคตจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้การแข่งขันในการให้บริการใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (ดีดับบลิว)ช่วงที่ผ่านมามีความคึกคักมากขึ้น จากผู้เล่นหลายรายที่เข้ามาให้บริการ ซึ่งบล.บัวหลวงพร้อมที่จะรับมือ และมองเป็นเรื่องที่ดีที่ช่วยทำให้ตลาดคึกคักมากขึ้น

“ภาพรวมการแข่งขันในสินค้าดีดับบลิวนั้น มีความรุนแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีผู้ให้บริการหลายราย ซึ่งมองว่าเป็นทิศทางที่ดีที่ช่วยเข้ามาสร้างความคึกคักให้กับตลาดดีดับบลิว”

ทั้งนี้ บล.บัวหลวงตั้งเป้าหมายจะมีส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)อยู่ที่ระดับ 30-40 % จากปีก่อนที่มีส่วนแบ่งในระดับ47 % ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายจะรักษาอันดับที่ 1 ของอุตสาหกรรมไว้ให้ได้ ซึ่งกลยุทธ์ของบริษัทจะเน้นเสนอขายดีดับบลิวให้มีอัตราทดที่มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน โดยอัตราทดเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 1- 3 เท่า

เนื่องจากมองว่าการให้อัตราทดที่สูงเกินไป จะสร้างความเสี่ยงให้กับนักลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งนักลงทุนอาจจะไม่เชี่ยวชาญการลงทุนในดีดับบลิวที่เพียงพอ โดยปีนี้คาดว่าจะมีการออกดีดับบลิวประมาณ 400 หลักทรัพย์ ซึ่งเป็นการออกดีดับบลิวอ้างอิงครบในหุ้นทั้ง 93 หลักทรัพย์ที่สามารถออกได้ รวมถึงยังเน้นการถือครองของลูกค้าให้อยู่ในอันดับที่ 1 ของอุตสาหกรรม

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2559 นั้น บริษัทมีรายได้ 3,219 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,072 ล้านบาท ซึ่งมีทิศทางที่ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อยที่มีรายได้ 1,136 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 3,454 ล้านบาท โดยในสัดส่วนรายได้ของบริษัทนั้น มาจากธุรกิจการให้บริการดีดับลิว และการลงทุนสูงถึง 19% มีรายได้จากการค้าหลักทรัพย์ 56 % รายได้จากด้านวาณิชธนกิจ 4 %