ลงทุนช่วง ‘สงคราม’ ปะทุ

ลงทุนช่วง ‘สงคราม’ ปะทุ

ลงทุนช่วง "สงคราม" ปะทุ สถิติชี้ชัด "หุ้นพุ่ง-บอนด์ร่วง"

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ประเมินหากสถานการณ์การเมืองโลกบานปลายจนนำไปสู่ภาวะสงคราม ย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน โดยในช่วงก่อนเกิดสงครามนักลงทุนมีแนวโน้มลดความเสี่ยงลง ด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น แต่เมื่อสงครามปะทุแล้วแม้จะยังไม่ได้ข้อยุติก็ตาม นักลงทุนจะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น โดยเพิ่มการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงแทน ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาพันธบัตรลดลง 

สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนไม่อาจมองข้ามได้เลยตลอดระยะเวลาการลงทุน ก็คือ ความเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงทางการเมือง (Political Risk) ความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) หรือความเสี่ยงจากวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อความเสี่ยงดังกล่าวเกิดขึ้น นักลงทุนมักจะมีพฤติกรรมลดความเสี่ยงลง หรือปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off)

โดยหันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ พันธบัตรรัฐบาล หรือ ค่าเงินเยน (ที่ตลาดมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย จากปัจจัย อาทิ อัตราดอกเบี้ยในญี่ปุ่นนั้นต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ส่งผลให้นักลงทุนกู้เงินเยน เพื่อไปลงทุนในต่างประเทศจำนวนมาก ทำให้เมื่อเกิดความเสี่ยงขึ้น นักลงทุนก็พร้อมที่จะขายเงินสกุลอื่น และซื้อเงินเยนกลับคืน) และเมื่อนักลงทุนคลายความกังวลต่อความเสี่ยงดังกล่าวลง นักลงทุนก็พร้อมที่จะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (Risk-On) โดยไปถือสินทรัพย์เสี่ยง อาทิ หุ้น เพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาข้อมูลในอดีตนับตั้งแต่ปี 2533-2557 ซึ่งประกอบด้วย ภาวะสงคราม อาทิ สงครามอ่าวเปอร์เซียในปี 2534, สงครามอัฟกานิสถานในปี 2544และวิกฤติการเงิน อาทิ วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540, วิกฤติซับไพร์ม หรือวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551

ศูนย์วิเคราะห์ฯ พบว่านักลงทุนมีพฤติกรรมที่ต่างกันเมื่อเผชิญความเสี่ยงที่ต่างกัน เช่น เมื่อความเสี่ยงจากสงครามทวีความรุนแรงขึ้น นักลงทุนมีพฤติกรรมที่จะลดความเสี่ยงก่อน (Risk-Off) และนักลงทุนจะกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (Risk-On) หลังมีการเปิดฉากโจมตี ไปแล้ว 1 เดือน 

โดยหากพิจารณาจากดัชนีความกลัว หรือ VIX Index ซึ่งวัดความผันผวนของดัชนี S&P 500 ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พบว่าดัชนีดังกล่าวจะค่อยๆ สูงขึ้นในช่วงก่อนเกิดสงคราม 3 เดือน และเริ่มลดลงหลังสงครามเริ่มไปแล้ว 1 เดือน

ซึ่งแตกต่างจากพฤติกรรมของนักลงทุนเมื่อเผชิญความเสี่ยงจากวิกฤติเศรษฐกิจ ที่นักลงทุนมีแนวโน้มเปิดรับความเสี่ยงในช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และจะปิดรับความเสี่ยงทันที เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้น

นอกจากนี้ผลจากวิกฤติเศรษฐกิจ ส่งผลให้ ดัชนีความกลัวอยู่ในระดับสูงกว่าในช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจไปอย่างน้อย 5 เดือน

อนึ่ง เมื่อวิเคราะห์ถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น โดยอ้างอิงกับ SET Index และสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาล โดยอ้างอิง พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (UST10Y) และค่าเงินเยน พบว่า ก่อนสงครามปะทุผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงจะลดลง

ในขณะที่ผลตอบแทนของสินทรัพย์ปลอดภัยจะเพิ่มขึ้น โดย ค่าเงินแข็งค่าขึ้น และบอนด์ยิลด์ลดต่ำลง (ราคาบอนด์สูงขึ้น) แต่เมื่อสงครามปะทุแล้ว พบว่า สินทรัพย์เสี่ยงกลับให้ผลตอบแทนมากขึ้น โดย หุ้นให้ผลตอบแทนเป็นบวก ในขณะที่ค่าเงินเยนกลับมาอ่อนค่า และ บอนด์ยิลด์ปรับตัวสูงขึ้น (ราคาบอนด์ลดลง)

แต่ทว่าในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจกลับพบว่า ก่อนที่จะเกิดวิกฤติการเงิน หรือ วิกฤติเศรษฐกิจ ราคาของสินทรัพย์เสี่ยงนั้นเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผลตอบแทนของหุ้นเป็นบวก และเมื่อเกิดวิกฤติการเงินขึ้น พบว่านักลงทุนปิดรับความเสี่ยง โดยหันมาถือ สินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ส่งผลให้ ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น และบอนด์ยิลด์ลดต่ำลง (ราคาบอนด์เพิ่มขึ้น) โดยแรงซื้อบอนด์ยังได้รับแรงหนุนจาก การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางที่มักจะลดอัตราดอกเบี้ย หลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้น

ทั้งนี้ ผลกระทบของภัยสงครามและวิกฤติเศรษฐกิจต่อราคาสินทรัพย์ต่างๆ ชี้ให้เห็นว่า แม้ว่าทั้งสองเหตุการณ์จะก่อให้เกิดความผันผวนขึ้นในตลาดเงินและตลาดทุน เหมือนกัน แต่ทว่าพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์กลับแตกต่างกัน ส่งผลให้การเตรียมรับมือต่อความเสี่ยง ทั้งภัยสงครามและวิกฤติเศรษฐกิจนั้นแตกต่างกันไปด้วย 

ดังนั้นนักลงทุนไทย จึงควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่จะเกิดขึ้น โดยมีการเตรียมแผนการลงทุนที่เหมาะสมหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

ศูนย์วิเคราะห์ทีเอ็มบี ระบุว่า สงครามที่ใช้ในการวิเคราะห์ในบทวิจัยนี้ ได้แก่ สงครามอ่าวเปอร์เซียในปี 2534, สงครามอัฟกานิสถานในปี 2544 , สงครามบุกอิรักในปี 2546 และ สงครามซีเรีย/โจมตีกลุ่ม IS ในปี 2557

วิกฤติเศรษฐกิจที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 , วิกฤติฟองสบู่ดอทคอมในปี 2543, วิกฤติซับไพร์ม หรือวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551 และ วิกฤติหนี้ในยุโรป ในปี 2553 ช่วงเวลาที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ ก่อนเกิดเหตุการณ์ 6 เดือน และ หลังเกิดเหตุการณ์ 6 เดือน