คาด "กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กฯ" กำไรโต

คาด "กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กฯ" กำไรโต

คาด "กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กฯ" กำไรโต แนะลงทุน "มากกว่าตลาด" 

ในช่วงนี้ ประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจอีกเรื่องคือความผันผวนของค่าเงิน โดยค่าเงินเอเชียเริ่มกลับมาอยู่ในทิศทางแข็งค่าในเดือน เม.ย. หลังอ่อนค่าในช่วงไตรมาส 1 ปี2560 ซึ่งนักวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ประเมินว่าเป็นผลจากตลาดตอบรับนโยบายเศรษฐกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ ไปมากแล้ว

สำหรับค่าเงินบาทที่แข็งแรงในระยะสั้น น่าจะเป็นผลจากเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้กว่า 1.12 แสนล้านบาท และไทยยังเกินดุลการค้าต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หากเงินบาทแข็งน่าจะมีแนวโน้มกลับมาอ่อนค่าในสัปดาห์หน้า เพราะเชื่อว่าน่าจะมีแรงขายในตลาดตราสารหนี้เพิ่มขึ้น หลังจากที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับภาพการเมืองในยุโรปน่าจะชัดเจนขึ้น และ เงินบาทที่ระดับใกล้เคียง 34 บาทต่อดอลลาร์ การส่งออกของไทยน่าจะเผชิญปัญหาการแข่งขันที่ยากขึ้นในตลาดโลก ท่ามกลางการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้น

โดยการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาท มีผลต่อแนวโน้มกำไรของหุ้นในกลุ่มส่งออก รวมถึงกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 

แนวโน้มกำไรโตยกกลุ่ม

นักวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า แนวโน้มกำไรสุทธิกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ปี 2560 ยังเติบโตได้ แต่มีปัจจัยกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ และราคาทองแดงกับค่าทำ copper foil ที่เพิ่มสูงขึ้น

ฝ่ายวิจัยคาดว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะเติบโตขึ้นได้เนื่องจากหุ้นหลายตัวอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากปีก่อน จึงมองแนวโน้มกำไรสำหรับกลุ่มจะโตขึ้นกว่าเดิมมาก สำหรับไตรมาส1 ปี2560 มองว่ารายได้ของกลุ่มในหน่วยดอลลาร์มีแนวโน้มเติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจนขึ้น ส่งผลดีให้ความต้องการใช้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น 

อย่างไรก็ตาม แต่ยังคงมีปัจจัยกดดันจาก USD/THB ที่แข็งค่าขึ้นมากทั้ง QoQ และ YoY ประกอบกับ EUR/THB ก็แข็งค่าขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ปกติไตรมาส 4 ของทุกปีเป็นช่วง low season เราจึงมองว่ากำไรของบริษัทในกลุ่มส่วนใหญ่จะโต QoQ ได้ แต่อาจจะลดลง YoY เล็กน้อย นอกจากนี้ ยังมีราคาทองแดงและค่าทำ copper foil ที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเราคาดว่าจะทำให้ต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มนี้เป็น Overweight เนื่องจากมองว่ากำไรของกลุ่มนี้ยังมีโอกาสเติบโต และหลายบริษัทอยู่ในช่วงฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้ว ประกอบกับราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากก่อนหน้านี้ จึงมี upside เหลืออยู่ ขณะที่เรามองอุตสาหกรรมส่งออกน่าจะฟื้นตัวดีในปีนี้ สำหรับ top pick ของกลุ่มเราเลือ KCE เพราะเป็นหุ้นพื้นฐานแกร่ง ผู้บริหารมองการณ์ไกล และมีการขยายโรงงานตามความต้องการที่กำลังจะเพิ่มขึ้น

เดลต้าธุรกิจระยะสั้นไม่ชัด

นักวิเคราะห์บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส กล่าวว่า คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1ปี 2560 ของ เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (DELTA) ที่ 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากงวดเดียวกันปีก่อน และลดลง 7% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยที่เติบโตได้พอควรเทียบกับงวดเดียวกันปีที่แล้ว เพราะยอดขายที่ดีขึ้น 5% จากลูกค้าอุตสาหกรรมยานยนต์ และรายได้ data center ฟื้นตัว อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นเล็กน้อยเป็น 26.5% จากส่วนผสมสินค้าในการขาย และเกิด economy of scales รวมทั้งสัดส่วนค่าใช้จ่ายเทียบกับรายได้ลดต่ำลง

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความเสี่ยงคือทิศทางธุรกิจระยะสั้นไม่ชัดเจน สำหรับแผนการขายบริษัทย่อยออกไป 4 แห่ง เพื่อแลกกับการถือหุ้น 100% ใน Eltek SK และเงินสด 2.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมองว่าดีลนี้ค่อนไปในทางลบ เพราะ Eltek มีผลการดำเนินงานที่ไม่น่าประทับใจ และอัตรากำไรสุทธิที่ทำได้น้อยเป็นเพียง 1.75% รวมทั้งยังไม่เห็นประโยชน์ synergy

ฮานาราคาหุ้นเกินพื้นฐาน

นักวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า  ทิศทางค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงในช่วงที่เหลือของปี สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยโลกที่ขยับขึ้น เป็นผลบวกต่อฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) โดยภาพรวมธุรกิจหลักในปี 2560 เป็นไปในทิศทางที่สดใสขึ้น สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก บวกต่อความต้องการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น โดย HANA ได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่งวดไตรมาส 4 ปี2559 และคาดว่าจะเห็นคำสั่งซื้อปี 2560 เติบโตต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่ม smartphone ยานยนต์ และ RFID (ฉลากอิเล็กทรอนิกส์)

นอกจากนี้ HANA ยังเป็นบริษัทที่จะได้รับผลบวกจากแนวโน้มค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ ที่ประเมินว่าจะอ่อนตัวลงในช่วงที่เหลือของปี ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ที่จะขยับขึ้นต่อเนื่อง โดยค่าเงินบาทเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 2560 อยู่ที่ 35.22 บาท/ดอลลาร์ ทำให้ฝ่ายวิจัยมีโอกาสปรับเพิ่มสมมติฐานค่าเงินบาทเฉลี่ยปี 2560 ขึ้นจากปัจจุบันที่ 35 บาท/ดอลลาร์ฯ โดยทุก 1 บาทที่อ่อนค่าลงจะบวกต่อกำไรสุทธิของ HANA ถึง 6.2% จากคาดการณ์ปัจจุบัน

เอสวีไอกลับมาแข็งแกร่ง

นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า หลังจากที่เอสวีไอ (SVI) ผ่านช่วงเวลายากลำบากมาหลายปี นับตั้งแต่ปีนี้เชื่อว่าจะถึงเวลาของอนาคตที่สดใสแล้ว โดยเราคาดกำไรของบริษัทจะเติบโตก้าวกระโดดในปี 2560 หนุนโดยปัญหาด้านการผลิตที่ถูกแก้ไข (เช่น ปัญหาคอขวดและปัญหาด้านเครื่องจักร), ยอดสั่งซื้อจากลูกค้าใหม่ และการขยายผลิตภัณฑ์ที่ให้อัตรากำไรสูง โดยคาดกำไรหลักเติบโตแข็งแกร่งจากปีที่แล้ว 

ทั้งนี้ SVI ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20-30% เป็น 380-400 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ อ้างอิงจากคำสั่งซื้อจากลูกค้าเดิมในมือที่จะเติบโตอย่างน้อย 20% และคำสั่งซื้อเพิ่มเติมจากลูกค้าใหม่จากหลายอุตสาหกรรม เช่น พลังงานสีเขียว , ตลาดเครื่องเสียงระดับบน, อุตสาหกรรมยานยนต์ , ไฟเบอร์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศญี่ปุ่น และอุตสาหกรรมการแพทย์ และคาดว่าอัตรากำไรสุทธิของ SVI คาดจะกลับสู่ระดับปกติที่ 6-8% ในปี 2560 เนื่องจากไม่มีรายการพิเศษ