‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ชู 3กลยุทธ์นำดุสิตผงาดทั่วโลก

‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ชู 3กลยุทธ์นำดุสิตผงาดทั่วโลก

หลังจากที่ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ เข้ารับตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) มาครบรอบ 1 ปีเต็ม เมื่อวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา

การก้าวขึ้นปีที่ 2 ของผู้บริหารหญิงแกร่งวัย 53 ปี ในการก้าวขึ้นดูแลกลุ่มโรงแรมเก่าแก่ที่สุดของไทย เริ่มเดินหน้าสู่ความท้าทาย ในการปักธงนำองค์กรในยุคเติบโต ออกไปผงาดสร้างชื่อระดับนานาชาติ

ศุภจี เปิดเผย“กรุงเทพธุรกิจ” โดยทบทวนการทำงานในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาว่า เริ่มสานต่อวิสัยทัศน์การขยายธุรกิจทั้ง 2 สาขา คือ “โรงแรม” และ “การศึกษา” ต่อจากผู้บริหารรุ่นก่อนหน้า ชนินทธ์ โทณวณิก ที่วางรากฐานไว้โดยมีเป้าหมายชัดเพื่อการเติบโตต่างประเทศในรูปแบบ Asset Light หรือสร้างรายได้จากการรับบริหาร ควบคู่ไปกับการลงทุนด้วยตัวเอง ซึ่งทั้งหมดจะประสบความสำเร็จได้ ด้วยการพัฒนาและสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์โรงแรมที่มีอยู่ รวมถึงการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เพื่อให้มีรากฐานแข็งแกร่งอย่างแท้จริง รองรับการขยายตัวแบบก้าวกระโดดสู่ระดับโลก

จากที่ปัจจุบันมีโรงแรมเปิดแล้ว 29 แห่ง และมีโครงการอยู่ระหว่างการพัฒนาถึง 46 แห่ง โดยมีทำเลอยู่ใน 21 ประเทศทั่วโลก

การทำงานปีแรกเป็นการสร้างรากฐานองค์กรให้แข็งแกร่ง ซึ่งมุ่งให้ความสำคัญกับ 5 เรื่อง ได้แก่ การพัฒนาบุคคลากรด้วยการสร้างการรับรู้ในพันธกิจองค์กรใหม่ในทิศทางเดียวกัน จัดตั้งแผนกพัฒนาธุรกิจใหม่ เพื่อแสวงหาช่องทางการลงทุนในรูปแบบนอกเหนือจากธุรกิจเดิมที่มีอยู่ การปรับกระบวนการทำงานให้กระชับมีประสิทธิภาพ เช่น การแยกส่วนงานด้านการตลาดและการขายชัดเจน, การใช้เทคโนโลยีมาตอบสนองประสบการณ์เข้าพักที่ดีที่สุดให้ลูกค้า, การปรับปรุงกิจการโรงแรมที่เป็นเจ้าของเอง 10 แห่ง (8 แห่งในไทย 2 แห่งในต่างประเทศ ที่ฟิลิปปินส์ และมัลดีฟส์) ให้ทันสมัย ในปีที่ผ่านมาใช้งบการรีโนเวทตกแต่งไปกว่า 600 ล้านบาท และสุดท้ายคือ การเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการเงิน (Financial Capability) เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต

ศุภจี กล่าวว่า นอกจากการปรับโครงสร้างภายในที่เริ่มเดินหน้าไปแล้ว ในปีนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงและเติบโตของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ผ่านการเปิดตัวธุรกิจยักษ์หลายโปรเจค ซึ่งทั้งหมดมาจากการวางกลยุทธ์การดำเนินงานไว้ 3 แนวทาง เพื่อการก้าวไปข้างหน้า

กลยุทธ์แรก สร้างความสมดุลรายได้ จากในไทยและต่างประเทศให้เป็น 50:50 เท่ากัน ภายใน 3 ปี เพื่อลดความเสี่ยงของผลประกอบการรวม จากที่ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ในประเทศสูงถึง 70% เนื่องจากมีกิจการที่เป็นเจ้าของเองถึง 10 แห่ง แต่ปัจจุบันมีการเซ็นสัญญารับบริหารโครงการต่างประเทศไปแล้วกว่า 46 แห่ง รวมถึงการลงทุนต่อเนื่อง

โดยในวันที่ 28 มี.ค.นี้ เตรียมเดินทางไปญี่ปุ่น เพื่อเซ็นสัญญาร่วมทุนกับบริษัท คัลเลอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เพื่อจัดตั้งเป็น บริษัทดุสิต คัลเลอร์ส จำกัด เพื่อดำเนินการขออนุญาตจากเมืองเกียวโต แหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ประเดิมโรงแรมแห่งแรกของกลุ่มในญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อ ดุสิต คัลเลอร์ส ขนาดราว 200 ห้อง คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2562 ทันรองรับกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่โตเกียวจะเป็นเจ้าภาพในปี 2563

นอกจากนั้น ยังมีเซ็กเมนท์การลงทุนด้านการศึกษาซึ่งสามารถเพิ่มสัดส่วนได้อีก จากปัจจุบันยังมีสัดส่วนรายได้เพียง 10% เท่านั้น เมื่อเทียบกับรายได้โรงแรมที่สูงถึง 90% เนื่องจากมีพันธมิตรที่ไว้ใจให้ดุสิตไปร่วมขยายธุรกิจ ทั้งด้านการเป็นที่ปรึกษา, ร่วมลงทุนเปิดตัววิทยาหรือโรงเรียนด้านการโรงแรม มีอีกหลายแห่งอยู่ระหว่างการเจรจา

หลังจากที่พันธมิตรเห็นความสำเร็จของกลุ่มดุสิต ที่มีสถาบันการศึกษาในไทยที่มีนักเรียนกว่า 4,000 คน แต่ละปีผลิตบุคลากรป้อนอุตสาหกรรมมากกว่า 600 คน รวมถึงการไปเป็นที่ปรึกษาให้กับหลักสูตรมหาวิทยาลัยในฟิลิปปินส์ ผลิตบุคลากรปีละกว่า 1 หมื่นคน และกลางปีที่ผ่านมา ประกาศตั้งวิทยาลัยดุสิตบริหารการโรงแรม ขึ้นที่กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นการบูรณาการพื้นที่วิทยาลัยใช้อาคารเดียวกับโรงแรมดุสิต ดีทู คาดจะเปิดได้ในต้นปี 2561 และเริ่มรับนักศึกษารุ่นแรกในเดือน ส.ค.ปีเดียวกัน

กลยุทธ์ที่ 2 “สร้างการเติบโต” ของธุรกิจโรงแรม ด้วยเป้าหมาย “ขยายเพิ่มห้องพักอีกเท่าตัว” จากที่มีไม่ต่ำกว่า 7,200 ห้องในปัจจุบันไปเป็น 1.4-1.5 หมื่นห้อง ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยนอกเหนือจากการรับบริหารตามแนวทางปกติที่ดำเนินมาแล้ว ยังเตรียมกลไกขับเคลื่อนกลุ่มดุสิตขยายตัวได้รวดเร็วขึ้นด้วยการนำระบบ “แฟรนไชส์” มาใช้เป็นครั้งแรกด้วย

หน้าที่ของดุสิตคือการพัฒนาแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่งและมีมาตรฐาน เพื่อให้นักลงทุนสนใจนำไปต่อยอดให้กับอสังหาริมทรัพย์ของตัวเอง ในราวเดือน พ.ค.นี้ เตรียมลงนามร่วมกับ โดสเซ่น โฮเทล กรุ๊ป จากประเทศจีน ในการนำแบรนด์ “ปริ๊นเซส” ไปขยายในรูปแบบแฟรนไชส์ มีเป้าหมาย 20-40 แห่งภายใน 3 ปี ซึ่งจะเป็นการจุดพลุก่อนที่จะเข้าไปยึดฐานอีกตลาดใหญ่ในเอเชียอย่างอินเดีย และเกาหลีใต้ เป็นลำดับต่อไป

ในช่วงกลางปีนี้ คาดว่าจะได้ฤกษ์เปิดโฉมแบรนด์ใหม่ล่าสุดของดุสิต ที่ขยับลงมาอยู่ในเซ็กเมนท์ “3 ดาวระดับพรีเมียม” เป็นครั้งแรก เตรียมเซ็นสัญญากับเจ้าของโครงการแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เพื่อเปิดตัวโรงแรมแรก มีเป้าหมายเพื่อเจาะตลาดกำลังซื้อรุ่นใหม่กลุ่มเจเนอเรชั่นวาย หรือ กลุ่มมิลเลนเนียลส์ โดยเฉพาะ เน้นการให้บริการพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางตอบสนองไลฟ์สไตล์ โดยเหมาะเป็นโรงแรมที่อยู่ใจกลางเมืองท่องเที่ยวต่างๆ

และกลยุทธ์ที่ 3 “การกระจายความเสี่ยง” ด้วยการสร้าง “ธุรกิจใหม่” ตามที่ได้ปรับโครงสร้างและเพิ่มทีมงานด้านนี้ขึ้นมาศึกษาโอกาสโดยเฉพาะ พร้อมตั้งเป้าหมายว่าใน 3 ปีนี้จะต้องปั้นธุรกิจใหม่ให้มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 10% 

ทั้งนี้ มองไปที่การใช้ประโยชน์ที่ดินสะสมที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ปัจจุบันมีอยู่ 3 แปลงที่กำลังศึกษา ได้แก่ เกาะสมุย ที่มีอยู่กว่า 80 ไร่ติดชายหาดและถนน และที่ดินในหัวหินและนครราชสีมา ซึ่งเป็นที่ดินข้างเคียงกับโรงแรมที่มีอยู่ โดยรูปแบบการลงทุนนั้น จะเน้นโครงการมิกซ์ยูส ที่ต่อไปจะถูกยกเป็นหัวใจหลักในการขยายกิจการของดุสิต เพราะมองว่ารูปแบบการผสมผสานจะสร้างผลตอบแทนในที่ดินได้มากที่สุด

หลังจากที่เสนอโครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่ 23 ไร่บนถนนสีลม มูลค่า 3.67 หมื่นล้านบาท ให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาในวันที่ 27 เม.ย.นี้เรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไปจะผลักดันโครงการมิกซ์ยูสต่อเนื่องในทำเลต่างจังหวัด ยึดแนวคิดด้าน เวลเนส หรือ การเป็นศูนย์ครบวงจรด้านการดูแลรักษาสุขภาดที่ดี เจาะกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป โดยนอกจากโรงแรมและเรสซิเดนซ์แล้ว จะเน้นการสร้างกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ทำร่วมกัน และเป็นธุรกิจที่สามารถบูรณาการจุดแข็งของธุรกิจอื่นในเครือมาเข้าร่วม เช่น โรงเรียนสอนการทำอาหาร จะนำเสนอบริการร้านอาหารเพื่อสุขภาพที่ทันสมัย นำบริการสปาที่เป็นจุดแข็งไปขยายร่วม โดยยังคงใช้วิธีเลือกพันธมิตรที่เหมาะสมมาช่วยส่งเสริมการเติบโตร่วมกัน เช่น ญี่ปุ่น ที่มีความเชี่ยวชาญในบริการนี้ และมีตลาดวัยเกษียณที่พร้อมแสวงหาแหล่งพำนักระยะยาวต่างประเทศอยู่แล้ว”

ปีนี้คาดว่าจะเห็นแผนการเงินที่ชัดเจนมากขึ้น โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาหลายทาง อาทิ การเข้าระดมทุนในตลาดทุน, การกู้ยืมจากธนาคาพาณิชย์ ซึ่งมีความน่าสนใจเพราะอัตราดอกเบี้ยที่ยังต่ำ รวมถึงการออกหุ้นกู้ เป็นต้น โดยประเด็นที่ทำให้ยังมั่นใจในศักยภาพการเงิน เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น(D/E)ที่อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.4 แม้ว่าจะมีโครงการเมกะโปรเจคต์แบบมิกซ์ยูสที่สีลม ร่วมกับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) และโครงการเวลเนสที่ต่างจังหวัดเตรียมจ่อคิว แต่มั่นใจว่าสัดส่วน D/E จะไม่เพิ่มจนเกิน 1 เท่าตัวแน่นอน

ทั้งนี้ ตั้งงบค่าใช้จ่ายที่ต้องลงทุน (CAPEX) ไว้ที่ราว 3% ของรายได้ต่อปี ซึ่งประเมินว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นไปได้ และยังคงสืบทอดแนวทางที่ผู้บริหารดุสิตในรุ่นก่อนหน้านี้ยึดเป็นหัวใจหลัก คือ เป็นการลงทุนแบบคอนเซอร์เวทีฟ เน้นแผนการเงินรอบคอบ และมีผลตอบแทนสูงสุด 

“การทำพร็อพเพอร์ตี้ให้แข่งขันได้ในตลาด ทำให้หยุดการลงทุนไม่ได้ ไม่แต่เฉพาะการสร้างโครงการใหม่ แต่รวมถึงการรีโนเวทกิจการเดิมเป็นเพื่อปรับปรุงโพซิชันนิ่งด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแผนการแสวงหารายได้ในรูปแบบต่างๆ โดยมีความเป็นไปได้ที่จะเข้าไปใน “ตลาดทุน” จัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) คาดว่าปีนี้มีภาพชัดเจนพอสำหรับการไปคุยกับผู้ถือหน่วยได้ว่า จะเดินหน้าในการระดมทุนต่อไปอย่างไร”

ศุภจี ย้ำด้วยว่า โครงการมิกซ์ยูสที่สีลม ซึ่งประกอบด้วยโรงแรม, ศูนย์การค้า, เรสซิเดนซ์ และอาคารสำนักงาน ย่านสีลม ขณะนี้มีความคืบหน้าด้านแบบแล้วกว่า 80% ซึ่งจะเป็นต้นแบบที่สำคัญในการขยายธุรกิจแบบมิกซ์ยูสต่อไปด้วย หากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเห็นชอบ ก็จะเริ่มการก่อสร้างโรงแรมขึ้นเป็นส่วนแรก บนพื้นที่ต่อขยายที่เช่าเพิ่มเติมอีกราว 4 ไร่ติดกับโรงแรม (จากพื้นที่ทั้งหมด 23 ไร่ 2 งาน 27 ตร.ว.) ใช้ระยะเวลาก่อสร้างราว 3 ปี เพื่อเป็นดุสิตธานี ในรูปโฉมใหม่ที่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมของตัวเองที่โดดเด่นเอาไว้ พร้อมกับเปิดโอกาสให้พนักงานทั้งหมด 588 คน เข้าทำงานเช่นเดิม โดยระหว่างนี้ มีการเตรียมแผนรองรับโยกย้ายพนักงานไปที่โรงแรมอื่นๆ รวมถึงติดตามไปยังร้านอาหารประจำที่จะย้ายโลเกชั่นไปเปิดให้บริการนอกโรงแรมชั่วคราว

จากนั้นในเดือน ก.ค.2561 จึงจะเข้าสู่กระบวนการรื้อถอนโรงแรมเดิม เพื่อก่อสร้างโครงการที่เหลือทั้งหมด ซึ่งวางโครงสร้างเชื่อมต่อระบบขนส่งทั้งการทำพื้นที่ใต้ดินเชื่อมกับรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที, รถไฟฟ้าบีทีเอส และจัดทำเส้นทางเข้า-ออกเชื่อมต่อไปยังถนนสาทร เพื่อช่วยระบายการจราจรให้โซนดังกล่าวคล่องตัว ทั้งนี้ แผนการดังกล่าวต้องผ่านการเจรจากับหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่ต่อไป

เราไม่อยากใช้คำว่าทุบทิ้ง เพราะตามแผนที่วางไว้ จะมีการเก็บรักษาเอาทรัพย์สินดั้งเดิมที่มีคุณค่าไปไว้กับโรงแรมใหม่ทั้งหมด สิ่งใดที่เป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมจะยังคงอยู่ และตั้งใจจะสร้างใหม่ให้สมศักดิ์ศรีความเป็นเรือธงของกลุ่มดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ต่อไป แต่ขณะเดียวกันโครงการนี้ ก็จะช่วยสร้างให้ย่านสีลมกลับมาโดดเด่นเป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯ อีกครั้ง”